ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของ “8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล” 312 เสียง ที่มีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นแกนนำ ก็ส่ออาการน่าเป็นห่วง จากศึกแย่งตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ระหว่าง 2 พรรคใหญ่ คือ “ก้าวไกล-เพื่อไทย”
ที่ก่อนหน้านี้ แม้จะแสดงภาพหวาน จูบปาก แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) เรียงหน้าเล่นละคร ตีสองหน้า เอาใจ “ด้อมส้ม” สร้างกระแสตีกินความนิยมถ่วงเวลาไปวันๆ เพราะทันทีที่ ก.ก. เสนอชื่อ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก วัย 41 ปี ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็มี เสียงวิพากษ์วิจารณ์ มาจาก “อดิสร เพียงเกษ” เจ้าเก่าจาก เพื่อไทย ออกมา ฉะรอบสอง ไร้มารายาท เพราะทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านไม่กี่ชั่วโมง นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงมติคณะกรรมการบริหารพรรค ยืนยันว่า “พรรคเพื่อไทยต้องได้ประธานสภา โดยยึดสูตร 14+1 ไม่ใช่การแก่งแย่งตำแหน่ง แต่เราเห็นความจำเป็นในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ และมีนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีให้สำเร็จ พรรคเพื่อไทยเชื่อว่า การมีประธานสภาของพรรคเพื่อไทย จะทำให้สภาเดินหน้าราบรื่น เรียบร้อย ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติได้สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ”
ล่าสุด…ในการเจรจาของ “ผู้นำจิตวิญญาณ” ตัวจริงในศึกตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ ในการต่อรอง เก้าอี้ ครม. จากเดิม สูตร 14+1 ของทั้ง 2 พรรค ซึ่งล่าสุดการเจรจา ตกลงได้ คือ เพื่อไทยได้เก้าอี้รัฐมนตรี เพิ่มอีก 1 เก้าอี้ ด้วย สูตร 15+2 คือ ครม.+รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และคนที่ 2 ขณะที่ก้าวไกลจะได้รัฐมนตรี 13+1+1 คือ ครม.+ประธานสภาผู้แทนราษฎร+นายกรัฐมนตรีซึ่งการ ปิดดีล ครั้งนี้ ตั้งอยู่บนบนเงื่อนไขว่า 8 พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม จะชูนายพิธา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้านายพิธาไม่สามารถฝ่าด่าน ส.ว. ได้ พรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคก้าวไกลจะอยู่ช่วยพรรค เพื่อไทย ในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่แยกตัวออกไปไหน ซึ่งแนวทางนี้ เมื่อ ส.ส. รับทราบ ก็มีบางส่วนยอมรับว่าขัดความรู้สึกบ้าง แต่เมื่อได้รับฟังการชี้แจงถึงเป้าหมายในการจัดตั้งรัฐบาล ที่พรรคก้าวไกลจะยืนข้างพรรคเพื่อไทย ไม่แยกตัวไปไหน กรณีที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ทำให้ ส.ส. รับฟังเหตุผลดังกล่าว
โดยในประเด็น “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ทางพรรค “ก้าวไกล-เพื่อไทย” ยังได้มีความเห็นร่วมกันว่า จะไม่ให้สมาชิกของทั้ง 2 พรรค ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว เพราะเกรงจะกระทบต่อการหารือแกนนำ “8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล” ในวันที่ 2 ก.ค. 2566 ที่พรรคก้าวไกล เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งปะทุขึ้นมาอีกแมท้ว่า ล่าสุด เมื่อ 29 มิ.ย.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังระบุว่า เรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าขณะนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการเจรจา ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ขอให้ทีมเจรจาของทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ได้หารือกันก่อน พร้อมยกตัวอย่างสิ่งที่ได้เรียนรู้ จากการดูวอลเลย์บอล คือน้ำใจนักกีฬา และเรื่องสภาพจิตใจ เพราะไม่ว่าจะทำคะแนนได้ หรือไม่ได้ ก็ต้องไม่เสียกำลังใจ และแม้บางเกมจะมีเทคนิคที่ทำให้ชนะได้ แต่หากเสียกำลังใจเมื่อไหร่ เทคนิคที่มี ก็ใช้ไม่ได้
สาเหตุหลักที่พรรคก้าวไกลต้องยึดเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ได้ เพราะเส้นทางสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของ “พิธา” ทุลักทุเล เจอ “นิติสงคราม” สารพัดเรื่อง ทั้งการถือหุ้นไอทีวี กรณี กกต. ขอเป็นเจ้าภาพตรวจสอบ มาตรา 151 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กรณีรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. มีโทษจำคุก 1-10 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ปมขายที่ดิน 14 ไร่ ที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในราคาต่ำกว่าที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ฯลฯ รวมถึงด่านสุดหินคือ ส.ว. ที่โอกาสริบหรี่จะได้เสียงหนุนทางด้านรัฐสภา ได้เตรียมพร้อมสำหรับรองรับสมาชิก ทั้ง ส.ส.ใหม่ และ ส.ว. โดย นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ออกหนังสือเชิญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีระเบียบวาระการประชุม เลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองคน หลังแนวโน้ม การเจรจา ประเด็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ตกลงกันได้เป็นที่เรียบร้อย โดยพรรคก้าวไกลจะเสนอชื่อ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล เป็นประธานประธานสภาผู้แทนราษฎรตอนนี้ “ก้าวไกล-เพื่อไทย” จบรอยร้าวในการชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร แค่ยกแรก… เพราะยังมีศึกแบ่งกระทรวง รวมถึงจัดสรรเก้าอี้ รมต. ของ 2 พรรคใหญ่ รอปะทุยกสอง ก่อนจะเผชิญ ปมร้อนระอุ “พิธา” ว่าที่นายกฯ คนที่ 30 พร้อมด่านสกัด อีกเพียบ ทั้ง กรณี หุ้นไอทีวี , การซื้อขายที่ดิน และ กับดัก 250 ส.ว. รออยู่ข้างหน้า
ซึ่งล้วนแต่ หนักหนา สาหัส อย่างยิ่ง !