ถ้าคิดว่าเสียงพอก็ตั้งรัฐบาลไปเลย ‘เสรี’ หยันมี ‘ส.ว.’ หนุน ‘พิธา’ นั่งนายกฯไม่เกิน 5 เสียง โต้หาอ้างยึดมาตรฐานโหวตปี 62 คนละบริบท เหตุคน-นโยบายมีปัญหา ด้าน ‘สมชาย’ จี้ถอน ‘แก้ม.112‘ เตือนสุ่มเสี่ยงทำประเทศไม่มั่นคง
วันที่ 27มิ.ย.2566 ที่ รัฐสภา นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้า และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุขณะนี้มีเสียงสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) เพียงพอที่จะทำให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ถ้ามากพอก็เป็นไปเลย แต่ตามที่ปรากฎก็ยังไม่เห็นมีใครที่แสดงออกมาชัดเจนนอกจาก 17 คนที่มีรายชื่อปรากฎออกมา โดยที่หลายคนใน 17 คน ออกมาปฏิเสธว่าถูกเอาชื่อไปใส่โดยไม่ได้ไปเสนอแนวทางแบบนั้น เพียงแต่หลายท่านบอกว่าถ้าได้เสียงข้างมากจะเลือกให้ แต่ทุกคนพูดตรงกันว่าถ้าได้เสียงข้างมากแล้วยังจะแก้มาตรา 112 เขาก็ไม่โหวตให้ ฉะนั้น จะยึดแนวทางการใช้เสียงชนะเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องดูความเหมาะสมด้วย
“ถ้ายังยืนยันว่าจะแก้มาตรา 112 ผมยืนยันในหลักการสำคัญตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ก็พูดเหมือนเดิม ผมไม่เลือกแน่นอน ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองอื่นที่สามารถเสนอชื่อได้ ก็ต้องดูว่าเขามีปัญหาเรื่องแก้มาตรา 112 หรือไม่ คุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ มีนโยบายที่หลอกลวงประชาชนอะไรบ้างหรือไม่ พฤติกรรมที่ผ่านมา ผลงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่นำมาตัดสินได้ทั้งนั้น” นายเสรี กล่าว
เมื่อถามว่า หากเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯมาจากพรรคเพื่อไทย จะทำให้สบายใจขึ้นในการโหวตให้เป็นนายกฯหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องสบายใจหรือไม่สบายใจ แต่เป็นเรื่องที่ส.ส.จะไปตกลงกันให้สบายใจ ไปจัดทัพรวบรวมเสียงกันมา เมื่อถึงตอนนั้น ส.ว.จะพิจารณาตามมาตรา 159 คือเลือกบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ถามย้ำว่า หากแนวโน้มเป็นแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย จะมีภาษีมากกว่านายพิธาหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ต้องดูว่าเป็นใคร เพราะพรรคเพื่อไทยมี 3 ชื่อ ก็ต้องดูว่าเสนอใคร ส่วนพรรคภูมิใจไทยก็มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคฯ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คงยังตอบไม่ได้ ต้องพิจารณาก่อนว่าบุคคลนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ รวมถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกัน
เมื่อถามว่าประเมินว่านายพิธาจะได้เสียงพอจะเป็นนายกฯหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า เชื่อว่าไม่พอ จะไปเอาเสียงที่ไหน ตนดูจากการแสดงออกที่ชัดเจนของส.ว.สนับสนุนนายพิธาไม่เกิน 5 เสียง ส่วนคนอื่นที่ไม่ได้พูด ตนพยายามบอกตลอดว่าใครสนับสนุนให้บอกมาเลย ส่วนท่านที่บอกว่ามีเสียงสนับสนุนก็กรุณาบอกมา เขาจะได้ไม่ปฏิเสธว่าสนับสนุนหรือไม่ เอาให้ชัดเจนไปเลยจะได้เป็นประโยชน์ แต่มาบอกว่ามีคนสนับสนุนแต่ไม่รู้ว่าใคร
เมื่อถามว่า จากการพูดคุยกันของส.ว.เรื่องการโหวตนายกฯ เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเองหรือมีใบสั่ง นายเสรี กล่าวว่า เป็นใบสั่งจากประชาชน เพราะประชาชนเลือกมาแค่ 14 ล้านเสียง ไม่ได้เลือกมาทั้งหมด
เมื่อถามย้ำว่าประเด็นของนายพิธายังเป็นปัญหาใช่หรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า แน่นอน เป็นปัญหา และถือเป็นเงื่อนไขต่อการโหวตนายกฯ การที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 มา 14 ล้านเสียง แต่ไม่ใช่คะแนนเสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศ แล้วชอบพูดกันบ่อยว่าทำไมไม่ทำตามเสียงประชาชน ต้องทำความเข้าใจว่าเสียงที่ประชาชนมีสิทธิ์ลงคะแนน 50 ล้านคน ใช้สิทธิ์ 40 ล้านคน เลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง แสดงว่า 14 ล้านเสียง เป็นเสียงข้างน้อย การที่เสียงข้างมากไม่เลือกจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญว่าเหตุใดถึงไม่เลือก แสดงว่าเราไม่ได้ไปขัดแย้งอะไรกับ 14 ล้านเสียง แต่เราทำตามเสียงข้างมาก” นายเสรี กล่าว
ด้านนายสมชาย แสวงการ ส.ว. กล่าวว่า จากที่ตนพูดคุยกับ ส.ว.ที่ลงคะแนนเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกล พบว่าไม่ได้เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคก้าวไกลที่เสนอ เช่น การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รวมถึงหมวด 1 หมวด 2 แต่เห็นด้วยกับบางนโยบาย ดังนั้น ในคะแนนเลือกตั้งที่ประชาชนเลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง อาจไม่เห็นด้วยกับทุกนโยบาย ทั้งนี้ การลงมติเลือกของส.ว. ขอให้มั่นใจในดุลยพินิจ และวุฒิภาวะของส.ว. ที่จะพิจารณาในประเด็นสิ่งที่เป็นผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ความสงบสุข
“ส.ว.ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล หรือคำนึงถึงการเปลี่ยนขั้วอำนาจ เปลี่ยนข้างหรือข้ามขั้วหรือไม่ แต่ประเด็นนายกฯนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการตั้งรัฐบาล ดังนั้น ต้องพิจารณาสิ่งที่จะไม่ทำให้เกิดความกังวลในความมั่นคงของประเทศ และไม่นำไปสู่ปัญหาความไม่มั่นคง สำหรับบางนโยบายของพรรคการเมืองพบว่าสุ่มเสี่ยง ดังนั้น ผมขอให้เอาออกเพื่อประโยชน์ของประเทศ” นายสมชาย กล่าว.