หลังจากมี พ.ร.ก.ยุบสภา ตามขั้นตอนไม่เกิน60วันก็จะมีการเลือกตั้ง ดังนั้นช่วงนี้ถือเป็น โค้งสุดท้ายก่อนดีเดย์ ให้ ประชาชน เจ้าของสิทธิ กากบาท เลือกตัวแทนจากพรรคการเมือง เข้ามาบริหาร บ้านเมือง ตามระบอบประชาธิปไตย ท่ามกลางการแข่งขันฝุ่นตลบของพรรคการเมือง เป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญและน่าสนใจยิ่ง
“วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี เจ้าของฉายา “เนติบริกร” ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน อย่างสั้นๆว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ทูลเกล้าฯ พ.ร.ก.ยุบสภาแล้ว และจะมีผลทันทีหลังประกาศลงในราชกิจจาณุเบกษา โดยหลังจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.จะเป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่า จะเป็นวันที่ 7 พ.ค.หรือ 14 พ.ค.2566กรณีดังกล่าว ไม่เหนือความคาดหมาย ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพราะ “บิ๊กตู่” ได้ประกาศมาหลายครั้งแล้วว่า จะ “ยุบสภา” เพื่อให้ ทุกพรรคการเมือง ได้มีเวลา เตรียมตัว เตรียมใจ รวมถึง การย้ายพรรค ย้ายขั้ว ได้ทันเวลา ต่อ สถานการณ์ทางการเมือง ที่สามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา
นั่นคือ การเลือกตั้ง ครั้งใหญ่ ที่กำลังจะเกิดขึ้น !
จับยามสามตา ส่อง ภาพรวม สถานการณ์การเมืองไทย ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง จะเห็นว่า เกิดปรากฏการณ์ “ฝุ่นตลบ อบอวล” ทั่วทุกสารทิศ ทุกพรรคการเมือง ลงพื้นที่หาเสียงกันจ้าละหวั่น ที่สำคัญ ภาพการเตรียม จับขั้ว ผนึกกำลัง หรือ การเลือกข้าง แบ่งพรรค แบ่งฝ่าย เกิดขึ้นแล้ว เป็นการเตรียมพร้อม เพื่อจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้ง !อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ยังมี “ตัวแปร” สำคัญ อันเป็น “กับดัก” ที่ รัฐธรรมนูญปี 2560 วางไว้ คือ วุฒิสภา 250 เสียง ในการโหวตเลือก นายกรัฐมนตรี เป็นปัญหาหนักอึ้ง ของ พรรคการเมือง ซีก ประชาธิปไตย นำโดย เพื่อไทย และ ก้าวไกล จึงทำให้ นโยบาย “แลนด์สไลด์ 310 เสียง” ของ พรรคเพื่อไทย ปรากฏขึ้น!
จากการตระเวน หาเสียง ตั้งเป้า ต้องทำให้ได้ ล่าสุด การลงพื้นที่ จ.ระยอง น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศบนเวที ด้วยความมั่นใจว่า เพื่อไทย จะได้ ส.ส.ตามเป้า ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว โดยไม่สนใจ ส.ว.250 เสียง พร้อมกับ ชู “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร และ เศรษฐา ทวีสิน เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
เหตุผลประการสำคัญ ที่”หมอชลน่าน”มั่นใจ มาจาก สถานการณ์ ทำศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ของเพื่อไทย (พท.) ต่างจากปี 2562 เนื่องจาก ขุมกำลังสำคัญ คือ กลุ่มบ้านใหญ่ชลบุรี อย่าง สนธยา คุณปลื้ม และ กลุ่มสามมิตร ซึ่งมีแกนนำทั้ง สมศักดิ์ เทพสุทิน และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยตีจากไปอยู่ พลังประชารัฐ (พปชร.) วันนี้ กลับมาอยู่กับ เพื่อไทย แล้ว ซึ่ง นักวิเคราะห์การเมือง เชื่อว่า สถานการณ์ของ เพื่อไทย ดีขึ้นแน่นอน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สอดรับการประกาศของ “มังกรการเมือง” อย่าง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ซึ่งบอก ตรงๆว่า ท่าที ของ ตัวเขา และ กลุ่มสามมิตร มีเป้าหมาย เพื่อ ร่วมรัฐบาล เท่านั้น และ เป็นเหตุผล ทำไม ต้อง กลับมาอยู่กับ พรรคเพื่อไทยส่วนพรรคเพื่อไทย จะกวาด ส.ส.ได้ 310 เสียง เป็นตามเป้าอันยิ่งใหญ่ หรือไม่ ผลจะปรากฏชัด หลังการเลือกตั้ง แต่ที่แน่ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดเจน ในขณะนี้ คือ ภาพรวมการบริหารบ้านเมือง โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง ที่มีความเคลื่อนไหว จากภาคเอกชน เรียกร้องให้ รัฐบาล ล้างไพ่ยุบสภา เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ เพราะไม่มีความหวังในการพึ่งรัฐบาล ที่ขณะนี้ ไร้เอกภาพ การจะขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจช่วยเหลือประชาชน น่าจะไปต่อไม่ได้ ขณะเดียวกัน สภาพการเมืองไทยมีแต่ปัญหา หนำซ้ำสภาฯ ล่มบ่อยซ้ำซาก องค์ประชุมไม่ครบ
ทั้งหมดคือ มุมมอง ของภาคเอกชน ด้วยความห่วงใย! และ ย่อมสร้างความได้เปรียบ จากฝั่งประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตามทีอีกด้านหนึ่ง ที่จะมองข้ามไม่ได้ ด้วยเปิดตัว ส.ส.ของพรรค “ภูมิใจไทย” ที่จัดขึ้นอย่าง ยิ่งใหญ่ อลังการ์ ณ ที่ทำการพรรค โดยมี “อนุทิน ชาญวีรกูล” ถือธง โบกสะพัด ปล่อย รถขบวน นำ ส.ส. กทม. ทั้ง 33 เขต เคลื่อนกระจายหาเสียง ทุกพื้นที่ กทม. ท่ามกลาง กองทัพ สื่อมวลชน แทบทุกสำนัก ติดตามรายงานข่าวทุกระยะ พร้อมกับคำประกาศลั่นของ “เสี่ยหนู” พร้อมเป็น นายกรัฐมนตรี ด้วย นโยบาย ประชานิยม ผ่านวลีสวยหรู “พูดแล้วทำ”ที่ ขนมาเป็น กระบุงโกย ไม่ว่าจะเป็น กองทุนประกันชีวิต 60ปี ให้ผู้สูงอายุ ได้รับสิทธิ กู้เงินได้ 20,000 บาท หรือ ถ้าเสียชีวิต ให้ ครอบครัวได้ 100,000 บาท , ฟอกไตฟรี , พักหนี้3ปี หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย , เพิ่มค่าตอบแทน อสม.จาก 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท ฯลฯ
ขณะเดียวกัน ก็มีการ ปล่อยภาพ แกนนำภูมิใจไทย ทั้ง อนุทิน, ศักดิ์สยาม ชิดชอบ และ ชาดา ไทยเศรษฐ ร่วมโต๊ะอาหาร มื้อกลางวัน กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ หัวหน้าพรรค พปชร. หรือ ภาพ อนุทิน เยี่ยม อาการป่วยของ “บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) รวมทั้ง ท่าที อันสนิทมสนม กับ “สมศักดิ์-สุริยะ” และ พูดผ่านสื่อ “ยังรักและเคารพ ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ อดีตผู้บังคับชา สมัยร่วมรัฐบาล กับ พรรคไทยรักไทย”
ภาพต่างๆที่ โผล่ว่อนในโลกโซเชียล ทำให้ สื่อต้องนำมาเสนอ เป็น ประเด็นร้อนทางการเมือง ต่าง และ ล้วน เป็น “ยุทธศาสตร์” ของ พรรคภูมิใจไทย ที่ แสดงว่า พร้อมที่จะร่วมรัฐบาล กับ ทุกซีกการเมือง ทั้ง ฝั่งประชาธิปไตย และ อนุรักษ์นิยม
เช่นเดียวกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อาณาจักร ซึ่งเป็นฐานที่มั่นแห่งใหม่ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคย์ หัวหน้าพรรค ประกาศชัดเจน ส่งชื่อ “บิ๊กตู่” เป็นนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่ ตาม กติกา ของ กกต. สามารถ ส่งรายชื่อได้ถึง 3 คน รวมถึง การดึงตัวบุคคลจาก หลากหลาย พรรคการเมือง ที่ล้วนอยู่ในระดับ “บิ๊กเนม” มาร่วมงาน ไล่มาตั้งแต่ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น “นักเลงเมืองชล”, ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีต รมต.หลายกระทรวง แกนนำคนสำคัญของ ประชาธิปัตย์, ชุมพล กาญจนะ มหาเศรษฐีพันล้าน อดีต สส.สุราษฎร์ธานี ฯลฯ การเกิดขึ้นของ พรรค รทสช. ถูกจับตามองว่า นอกจากเป็น “ลมใต้ปีก” ให้ “บิ๊กตู่” แล้ว ยังเป็นการ “ตกปลาในบ่อเพื่อน” ซึ่งในทางการเมือง แม้ว่าจะทำได้ แต่โดยมารยาทแล้ว เขาไม่ทำกัน
กลับไปที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เจ้าของสถานที่ “มูลนิธิผืนป่ารอยต่อ” ที่ตั้งอยู่ภายใน กรมทหารราบที่หนึ่ง มหาดเล็กรักษาพระองค์ เจ้าของนโยาย “ขจัดความขัดแย้ง” กล่าวได้ว่า ณ.ที่แห่งนี้ เป็น “วอร์รูม” ทางการเมือง ของ “บิ๊กป้อม” ในฐานะ ผู้จัดการรัฐบาล ที่เป็นหน้าเสื่อ ประสานสิบทิศ ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี มาตลอดนับตั้งแต่ ยึดอำนาจมากจากรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แต่วันนี้ “บิ๊กป้อม” ประกาศตัว อาสาขอ เปลี่ยนบทบาทจาก “เบื้องหลัง” มาอยู่ “เบื้องหน้า” ในฐานะ หัวหน้าพรรค พปชร. ขอแอ่นอก เป็น นายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้ง โดย “พี่น้องสองป.” มีแต้มต่อตุนอยู่ในมือจาก “250 ส.ว.”อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้ง ปัจจัยที่จะ ชี้ขาด ว่าใคร จะขึ้นเป็นนายกฯ ระหว่าง “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” คือ จำนวนเก้าอี้ ส.ส.ระหว่าง “รทสช.-พปชร.” ใครจะได้ตัวเลขมากกว่ากัน ซึ่ง ณ ขณะนี้ ความได้เปรียบ เสียเปรียบ ทั้งสองพรรค พอๆกัน แต่ “บิ๊กป้อม” ดูจะมีภาษี ดีกว่า ตรงที่ได้ “ลูกน้องเก่า” อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กลับมาเป็น “ขุมกำลังสำคัญ” และ จาก การตระเวน เดินสายหาเสียงของ พปชร. ที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากทุกฝ่าย
และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนเลือกตั้ง จะต้องมี ผลสำรวจคะแนนนิยม จาก สำนักโพล ต่างๆ ออกมาให้ สาธารณชน รับรู้ โดยเฉพาะจาก “ซูเปอร์โพล” และ “นิด้าโพล” ซึ่งถือ เป็น สำนักโพล ระดับแนวหน้าของไทย เริ่มจาก
“ซูเปอร์โพล” ระบุว่า “อุ๊งอิ๊ง” นำลิ่ว ประชาชน อยากกาบัตรให้นั่งนายกฯ ส่วน “บิ๊กตู่-ลุงป้อม” รั้งที่ 4-5 ชี้พรรคร่วมรัฐบาล ฆ่ากันเองเพื่อการแย่งปลาในบ่อเดียวกันจะพังทั้งแถบ เผยพลังเงียบมีผล โดย สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจ เรื่อง ประเมินความเสี่ยง ความล้มเหลวการเมือง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,061 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม พ.ศ.2566 พบว่า เกินกว่า 1 ใน 3 หรือร้อยละ 37.7 ยังคงสนับสนุนรัฐบาลทำงานต่อ ในขณะที่ร้อยละ 34.2 ขออยู่ตรงกลาง พลังเงียบ และร้อยละ 28.1 ไม่สนับสนุนรัฐบาลซูเปอร์โพล ชี้ว่า ถ้านักการเมือง ห้ำหั่นฆ่ากันเองเพื่อแย่งปลาในบ่อเดียวกัน ก็อาจจะพังกันไปทั้งแถบ แต่ถ้าตกลงกันได้ เพื่อให้ทุกอย่างขับเคลื่อนเดินหน้าถึงเป้าหมาย แบบเป็นมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น หมายถึงพรรคร่วมรัฐบาลยังสามารถรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้เหมือนเดิม เพราะคะแนนวันนี้ของฝั่งรัฐบาลรวมกันแล้วจะพบว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่ชนะแบบแลนด์สไลด์ การเจรจาตกลงกันได้ในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งแท้จริงจึงเป็นแนวทางที่น่าพิจารณาเพราะต่างฝ่ายต่างมีศักยภาพคงไม่มีใครยอมตกเป็นเป้านิ่งให้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว
ทางด้าน “นิด้าโพล” ฟันธงว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ “พท.-ก.ก.” ชนะถล่มทลาย! โดยทำการสำรวจความเห็นประชาชน เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2566 ที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ครั้งที่1 พบ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 38.20 อยากให้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เป็นายกฯ ตามด้วย ”พิธา ลิมเจริญรัตน์” ขณะที่ ร้อยละ 49.85 เลือกพรรคเพื่อไทย
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “ศึกเลือกตั้ง 2566 ครั้งที่ 1” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-8 มีนาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค เมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 38.20 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 2 ร้อยละ 15.75 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) อันดับ 3 ร้อยละ 15.65 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (พรรครวมไทยสร้างชาติ) อันดับ 4 ร้อยละ 9.45 ระบุว่า ยังหาคนที่ เหมาะสมไม่ได้ สำหรับพรรคการเมืองที่ประชาชนจะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 49.75 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 17.40 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 3 ร้อยละ 11.75 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 4 ร้อยละ 5.40 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 5 ร้อยละ 2.95 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย อันดับ 6 ร้อยละ 2.70 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 7 ร้อยละ 2.60 ระบุว่าเป็น พรรคเสรีรวมไทย อันดับ 8 ร้อยละ 2.35 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ อันดับ 9 ร้อยละ 2.15 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ และร้อยละ 2.95 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคประชาชาติ พรรคไทยภักดี พรรคกล้า พรรคไทยศรีวิไลย์ พรรคสร้างอนาคตไทย และ พรรคเพื่อชาติ
ทั้งหมด คือ ภาพรวม ปรากฏการณ์ ในโค้งสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้ง ส่วนที่ว่า ใคร และ พรรคการเมืองใด จะเดินทางไปถึงฝั่งฝัน หรือไม่ เป็นเรื่องที่ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ท่ามกลาง อำนาจ ผลประโยชน์ ที่ กำลังจะตามมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น !