ครอบครัว’โซ๊ะมณี’ เตรียมฟ้องกลับคดีอาญา 9 คน หลังศาลฎีกายกฟ้องคดีฉ้อโกง

ครอบครัวโซ๊ะมณี 3 คน บรรจง-อุสนา-นซีรุดดีน ถูกฟ้องคดีฉ้อโกงจากการขายที่ดิน แต่มีปัญหาขั้นตอนของกฎหมายไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันท่วงที จึงถูกผู้ซื้อ 9 คนฟ้อง แต่หลังขึ้นศาล 6 ปี ฎีกายกฟ้อง จึงเตรียมฟ้องกลับที่ถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

ตระกูล โซ๊ะมณี 3 คน นายบรรจง โซ๊ะมณี,อุสนา โซ๊ะมณี และนซีรุดดีน โซ๊ะมณี ในฐานะกรรมการมูลนิธิเพื่อคุณธรรม ได้ตกเป็นจำเลยใ เป็นเวลานานถึง 6 ปี จากกรณีที่โจทก์ 9 คนได้ฟ้องร้องคดีฉ้อโกง กรณีขายที่ดินย่านมีบุรี โดยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง มาถึงขั้นศาลอุทธรณ์พิพากษาแย้งกับศาลชั้นต้น แต่มาถึงขั้นศาลฎีกา ได้พิพากษายกฟ้องให้จำเลยทั้ง 3 พ้นจากข้อกล่าวหา เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2566

ทั้งนี้ พนักงานอัยการฯ(สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา11) นากุลวดี สร้อยวารี โจทก์ที่ 1 นางสาวนิสริน จระกา ที่ 2 นายวรากร ศรุติสุต ที่ 3 นางสาวมนัสที่ 4 นางสาวชีวารัช สรวงเกษม ที่ 5 นางสาวเลิศนภา บือแน ที่ 6 นางสาวรุ่งอรุณ บือแน ที่ 7 นางสาวไสว เวชภูติ ที่ 8 นางสาวนิรันดาร์ ฮะลูน ที่ 9 ได้ฟ้องร้องจำเลยทั้ง 3 ตามคดีดำที่อ.5096,5163,2561 จากกรณีที่ทั้ง 9 คน ได้ซื้อที่ดินจากมูลนิธิเพื่อคุณธรรม โดยมีจำเลยทั้ง 3 เป็นกรรมการ แต่มีปัญหาการโอนที่ดิน เนื่องจากที่ดินแปลงใหญ่จำนวน 2 แปลง อยู่ติดกัน มีผู้ซื้อจำนวน 12 คน เจ้าพนักงานที่ดินไม่ดำเนินการโอนที่ดินให้ โดยอ้างว่า มีการแบ่งที่ดินเกิน 10 แปลงจะต้องจะทะเบียนโครงการจัดสรร แม้จำเลยจะให้เหตุผลว่า เป็นโฉนด 2 แปลง แต่เจ้าพนักงานที่ดินระบุว่า โหนดอยู่ติดกัน ทำให้ไม่สามารถโอนที่ดินได้ จะต้องจดทะเบียนเป็นโครงการจัดสรร

ในคำพิพากษาศาลฎีกา ระบุว่า การเสนอขายที่ดินก็ปรากฎว่ามีการตั้ง
สำนักงานบริเวณหน้าที่ดินที่ประกาศขาย มีป้ายประกาศขายและมีการแบ่งเป็นล็อก ผู้ซื้อมีโอกาสพบเห็นตรวจดูที่ดินเป็นการกระทำในลักษณะเปิดเผย มีการผ่อนชำระผ่านบัญชีของจำเลยที่ ๒ จนกระทั่งมีการผ่อนชำระค่าซื้อที่ดินจนแล้วเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์กันโดยโจทก์ร่วมทั้งเก้ามีชื่อเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดิน แต่ไม่สามารถแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อขายได้เนื่องจากไม่มีการขออนุญาตจัดสรร

เกี่ยวกับข้อเท็จจริงในส่วนนี้ก็ใด้ความจากพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งเก้าปากนางสาววัฒนา ชาวสวน หัวหน้าฝ่ายทะเบียนสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี เบิกความว่า ได้มีการหารือไปยังกรมที่ดินว่าจะแบ่งแยกเป็นแปลงย่อนได้หรือไม่ ซึ่งต่อมากรมที่ดินแจ้งว่า ต้องยื่นอนุญาตจัดสรรที่ดิน ซึ่งแสดงว่า แม้แต่หน่วยงานราขการที่เกี่ยวข้องยังไม่แน่ใจว่า จะต้องมีการขออนุญาตจัดสรรที่ดินพิพาทหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ได่ยื่นอุทธรณ์ให้กรมที่ดินพิจารณาเกี่ยวกับการขออนุญาตจัดสรรด้วย

บ่งชี้ว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีว่าต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดินพิพาทหรือไม่นั้น จำเลยทั้ง 3 ไม่ทราบมาก่อน หากเป็นความผิดของจำเลยทั้ง 3 ที่ไม่สามารถแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ซื้อขายได้ ก็เป็นเรื่องที่เป็นความรับผิดทางแพ่ง มิใช่ว่า รับทราบข้อเท็จจริงอยู่แล้ว แล้วนำความเท็จเหล่านั้นหลอกลวงโจทก์ร่วมทั้ง 9 แต่อย่างใด อีกทั้งหากจำเลยทั้ง 3 มีเจตนาหลอกลวง ก็คงจะมีการวางแผนอย่างรดกุมไม่มีการร่วมกระทำด้วยกันกับบุคคลในครอบครัว ซึงจำเลยทั้ง 3 เกียวพันกันเป็นบิดา มารดา และบุตร อีกทั้งโจทก์ร่วมบางคนที่มาซื้อที่ดิน ก็เป็นบุคคลที่สนิทสนมกัน และจำเลยที่ 1 (บรรจง โซ๊ะมณี) ก็เป็นที่รู้จักว่า เป็นผู้กี่ยวข้องกับงานเผยแพร่ศาสนาอยู่ในแวดวงศาสนา และเมื่อมีการชำระค่าซื้อที่ดินเสร็จสิ้นก็คงวางแผนจะวางแผนเตรียมการบ่ายเบียงหลบหนี คงไม่ถึงชั้นที่จะนัดหมายจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันดังกล่าว เมื่อประมวลพฤติการณ์ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ประกอบกันแล้ว กรณียังไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันหลอกลวงโดยปกปิดข้อความจริงต่าง ๆ ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง หากจำเลยทั้งสามจะมีความรับผิดก็เป็นความรับผิดทางแพ่ง ในเรื่องของละเมิดหรือผิดสัญญาตามรูปเรื่องข้อเท็จจริงเท่านั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จึงไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้น จึงพิพากษากลับ ยกฟ้อง

นายนซีรุดดีน โซ๊ะมณี ลูกชายนายบรรจง โซ๊ะมณี กล่าวว่า จากคำพิพากษาของศาลฎีกา ยืนยันชัดเจนว่า พวกเราทั้ง 3 คน ไม่มีเจตนาฉ้อโกง แต่ติดปัญหาเงื่อนไขทางกฎหมายที่ดิน จึงทำให้ขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์มีปัญหา และจำเลยทั้ง 9 ได้ยื่นฟ้อง
‘ตลอดเวลา 6 ปีที่ถูกฟ้อง พกวเราทั้ง 3 คน ต้องเสียเวลาขึ้นศาล ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง โดยเฉพาะคุณพ่อผม ที่ทำงานศาสนามานาน ได้รับความเสื่อมเสีย และเสียหายด้านชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน จึงได้ปรึกษากับทนายความเพื่อฟ้อกลับจำเลยทั้ง 9 คน ในข้อหาแจ้งความด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ยกเว้นจำเลยทั้ง 9 จะบรรเทาความเสียหายที่ได้รับ จนทั้ง 3 มีความพึงพอใจ’ นายนซีรุดดีน กล่าว