นพ.หนุ่มอนาคตไกล เผยเป็น “มะเร็งปอดระยะสุดท้าย” เจ้าตัวขอบคุณทุกกำลังใจ

นายแพทย์หนุ่มที่กำลังประสบความสำเร็จในชีวิตและความรัก กลับตรวจพบเป็น “มะเร็งปอดระยะสุดท้าย” ทั้งที่ดูแลสุขภาพดี เป็นนักกีฬา และไม่สูบบุหรี่ จึงตัดสินใจเปิดเพจเฟซบุ๊ก เพื่อนำเรื่องราวการต่อสู้กับโรคร้าย เป็นกำลังใจให้เหล่าคนที่สู้ชีวิต พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้กำลังใจ จะเดินทางมาเยี่ยม ขณะที่สื่ออยากขอสัมภาษณ์ แต่เจ้าตัวไม่พร้อม ขอพื้นที่ส่วนตัว 

นายแพทย์ กฤตไท ธนสมบัติกุล อาจารย์แพทย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อายุ 28 ปี ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวการพบว่าตนเองเป็น “มะเร็งปอดระยะสุดท้าย” ในช่วงอายุที่กำลังมีความสุข กำลังจะแต่งงาน กำลังประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ซึ่งโพสต์ต่าง ๆ ของเขา มีผู้แชร์ในสังคมออนไลน์เป็นจำนวนมากกว่า3แสนครั้ง

“ผมกำลังจะแต่งงาน กำลังจะซื้อบ้าน แล้วผมก็เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย” กฤตไท ระบุผ่านเพจ “สู้ดิวะ” ที่เขาสร้างขึ้นในวันเดียวกับที่เริ่มเผยแพร่บทความ ในวันที่ 10 พ.ย. 2565 และกลายเป็นเพจที่มีผู้ติดตามเกือบ 300,000 คน ภายในข้ามคืนทั้งนี้ นายแพทย์กฤตไท ระบุว่า เขา ไม่สูบบุหรี่ ทานอาหารสุขภาพ และใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดเท่าที่คนหนึ่งจะดีได้ และแม้จะพบว่าเป็นมะเร็งปอดในระยะสุดท้าย “ผมไม่เสียดายชีวิตที่ผ่านมาเลย” เพราะ “มันคงจะดีมาก ๆ ถ้าการที่ชีวิตสั้นลงของผมสามารถเป็นกำลังใจ เป็นพลังให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อ”

โดยเขาเล่าประวัติว่า เกิดในกรุงเทพฯ อาศัยอยู่กับแม่และน้องสาวเป็นหลัก หลังครอบครัวตัดสินใจแยกกันอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เขาต้องเป็นผู้ใหญ่ หลังเรียนจบมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขาสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือ มช. และย้ายมาอยู่ในภาคเหนือ สร้างสังคมใหม่กับเพื่อนสนิทมากมาย และเรียนรู้วัฒนธรรม อีกทั้งยังเป็นนักบาสเกตบอลของคณะแพทย์ มช. เขาจึงใส่ใจการดูแลสุขภาพและออกกำลังกายมากหลังศึกษาจบคณะแพทย์ศาสตร์ใช้เวลา 6 ปี ตามกำหนด เขาศึกษาต่อสาขาเฉพาะทางในสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว ใช้ทุนกับศึกษาต่อที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ “ที่สำคัญคือทำไม ผมถึงเลือกที่เมื่อเรียนจบแล้ว ผมกลับไม่ได้ปฏิบัติงานในฐานะหมอแฟมเมด (Family Medicine) แต่กลับย้ายมาทำงานสายระบาดวิทยาคลินิก” พร้อมเสริมว่า เขาศึกษาเฉพาะทางควบกันสองสาขา คือ ระบาดวิทยาคลินิกด้วย

ช่วงชีวิตที่ผ่านมา นายแพทย์ กฤตไท ทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ เพราะไม่เพียงศึกษาจบแพทย์ปริญญาตรี และแพทย์เฉพาะทางอีก 2 สาขา เขาศึกษาต่อปริญญาโท สาขาวิทยาการข้อมูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มช. อีกใบ ระหว่างศึกษาแพทย์เฉพาะทางดังกล่าว

จนปัจจุบัน ได้รับบรรจุเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์ มช. และเริ่มงานได้สองเดือน ก่อนที่จะโพสต์ในวันที่ 10 พ.ย. ว่า

“หลังจากผ่านการลงทุนในตัวเองมาอย่างหนักหน่วง ผมได้เริ่มวิ่งตามความฝันอย่างเต็มที่ เดินตามแผนที่วางไว้ได้อย่างงดงาม” แต่ในช่วงเวลาที่กำลังจะแต่งงานกับคนรัก และซื้อบ้าน เขากลับพบว่า “ผมก็เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายครับ”ผมขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ และขอบคุณคนที่ได้พลังไปจากโพสต์ของผมครับ จากใจเลยคือผมตกใจมากๆกับกระแสที่เกิดขึ้น ผมตั้งใจทำเพจนี้ขึ้นมาเพื่อจะรวบรวมความคิด มุมมอง และสิ่งที่ผมตกตะกอน เอาจริงๆคือเพื่อจะเอาไปเขียนเป็นหนังสือรวมเล่มสักเล่มนึง แค่นั้นเลยครับ

ความตั้งใจของผม มีแค่การเขียนเล่าเรื่องราวและส่งต่อพลังให้กับคนอื่นเท่านั้นครับ แต่ ผมจำเป็นต้องบอกตามตรงว่า “ขณะนี้ผมเองอยู่ในกระบวนการรักษา” ยังต้องรับยาเคมีบำบัด ณ วันที่พิมพ์อยู่นี้ ผมก็ยังคงปวดหัว อ่อนเพลีย ผมร่วง และภูมิคุ้มกันต่ำ เหนือสิ่งอื่นใด ถึงผมจะดูจิตใจเข้มแข็งแค่ไหน แต่เรื่องทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นได้หนึ่งเดือนครับ ผมและครอบครัว รวมถึงเพื่อนสนิทเอง ก็ยังไม่ได้อยู่ใน”สภาพที่พร้อมพอ” ที่จะให้ทุกคนมาเยี่ยม ที่จะไปเจอทุกคนได้ครับ หวังว่าทุกคนจะเข้าใจครับ

รวมถึงสื่อต่างๆที่ให้ความสนใจ อยากจะสัมภาษณ์ผม โทรไปหาเพื่อน โทรไปหาครอบครัวผม และกำลังพยายามจะโทรหาผม ผมเข้าใจในมุมสื่อนะครับ ผมต้องขอโทษจากใจจริงๆที่คงไม่สะดวกไปสัมภาษณ์กับสื่อสำนักไหนครับ ผมดีใจมากๆครับที่เรื่องราวของผมสร้างแรงบันดาลใจและบางมุมก็ทำให้หลายคนอยากส่งกำลังใจกลับมาให้ผม อยากช่วยเหลือผม บางคนจะโอนเงินให้บ้าง จะบินมาหาบ้าง

ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับ แต่ในมุมคนรับอย่างผม ผมอยากบอกว่าชีวิตปกติของผม มันโอเคมากๆแล้วครับ ผมมีความสุขดีมากๆ ดังนั้น ผมอยากจะแค่ขอพื้นที่ส่วนตัว ให้ผมได้ใช้เวลาชีวิตของผมแบบสุขสงบต่อไป เพื่อที่ผมจะได้มีพลัง มาบอกเล่าเรื่องราวดีๆต่อไปครับ ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจและพยายามจะเข้าใจครับ.