ลือสะพัด! “สี จิ้นผิง” ผู้นำทรงอิทธิพลจีนถูกกักบริเวณ – ปลดพ้นผู้นำกองทัพ

ลือสะพัด! ‘สี จิ้นผิง’ ถูกกักบริเวณ และ ถูกปลดจากตำแหน่งผู้นำกองทัพ หลังจากกลับจากการพบกับ วลาดิเมียร์ ปู ติน ผู้นำรัสเซีย เผยเบื้องหลังมาจาก ผู้นำจีน สั่งปลด อดีตรมต.ผู้ทรงอิทธิพล ขณะที่ สื่อทางการจีน ยังไม่ออกมาตอบโต้ใดๆ ต่อกระแสข่าวดังกล่าว

วันที่ 24 ก.ย. 2565 สื่อออนไลน์ของอินเดียหลายสำนัก รวมถึง อินเดียทูเดย์ รายงานว่า เกิดข่าวลือสะพัดทั่วโลกโซเชียล ว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน ถูกควบคุมตัวโดยกักบริเวณไว้ในบ้านพัก พร้อมถูกปลดจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อยประชาชน หรือ พีแอลเอ

โดย ประธานาธิบดีสี เพิ่งไปเยือน เมืองซามาร์คันด์ ประเทศอุซเบกิสถาน เพื่อร่วมการประชุมกลุ่มองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ SCO เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีไฮไลต์อยู่ที่การพบปะเจรจากับ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย

“มีข่าวลือสะพัดที่ต้องตรวจสอบว่า สี จิ้นผิง ถูกกักบริเวณในบ้านพักที่กรุงปักกิ่งจริงหรือไม่ ช่วงเวลาที่นายสีไปประชุมที่ซาร์มาคันด์เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข่าวพรรคคอมมิวนิสต์ปลดนายสีออกจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองทัพ จากนั้นจึงตามด้วยการกักบริเวณ นี่คือข่าวลือ” สุพรามาเนียน ซวามี อดีตผู้นำพรรคบีเจพี ของอินเดียส่งข้อความทางทวิตเตอร์

ขณะที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่เป็นชาวจีน โพสต์ข่าวลือนี้เช่นกัน ว่า สีจิ้นผิงถูกกักบริเวณในบ้านพัก และบ้างถึงกับคาดการณ์ว่า นายพล หลี่ เฉียวหมิง เป็นผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีแทน

อินเดียทูเดย์รายงานว่า ข่าวลือเริ่มมาจาก อดีตรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพล 2 คน ถูกตัดสิน จำคุกตลอดชีวิต เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 4 คน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในกลุ่มที่แตกแยกทางการเมืองออกมาจากฝ่ายของสี จิ้นผิง ข่าวลือเรื่องนี้ เริ่มต้นสะพัดจากกลุ่มที่รวมตัวกันต่อต้าน สี จิ้นผิง

การตัดสินคดีดังกล่าว มีขึ้นก่อนถึงการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมักเป็นการส่งสัญญาณ ย้ำเตือนเหล่าผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่า ใครเป็นใหญ่ในประเทศ และครั้งนี้ ตัดสินก่อนจะเปิดการประชุมสภา พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 20 ซึ่งมีวาระประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะได้ต่ออายุผู้นำสมัย 3 เป็นคนแรก

นอกจากนี้ การที่เว็บไซต์ flightradar24.com โพสต์ข้อมูลการบินว่า สนามบินกรุงปักกิ่งยกเลิกเที่ยวบินต่างๆ หลายพันเที่ยวบิน บวกกับการที่สื่อของทางการจีนยังไม่ออกมาปฏิเสธ ยิ่งทำให้ข่าวลือสะพัดไปทั่ว

ทั้งนี้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากจีนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว