นักวิชาการชี้แถลงการณ์บีอาร์เอ็น หวังช่วงชิงจังหวะกับมาราปัตตานี

บีอาร์เอ็นไม่ได้สื่อสารกับสาธารณะมานาน   การออกแถลงการณ์ครั้งสุดท้ายคือเมื่อเดือนตุลาคม 2558  แถลงการณ์ครั้งนี้ออกมาในท่ามกลางเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นหลายระลอก  การปฏิบัติการที่ใช้คนมากที่สุดคือในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งมีการก่อเหตุระเบิดและเผาใน 18 อำเภอทำให้เกิดไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างในปัตตานี   การโจมตีนั้นต้องการแสดงให้เห็นศักยภาพทางการทหารมากกว่าทำลายชีวิต ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเครือข่าย “นักรบฟาตอนี” ยังคงมีอยู่อย่างกว้างขวาง

แถลงการณ์นี้ออกในนามของ BRN Information Bereau ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่ออกแถลงการณ์เมื่อสองปีก่อนซึ่งนำโดยนายอับดุลการิม คาลิบ  ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนการพูดคุยของปาร์ตี้บีในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร    น่าสนใจว่าพวกเขาเลือกที่จะสื่อสารผ่านสื่อต่างประเทศเป็นหลัก  รายงานข่าวปรากฎออกมาก่อนใน AFP, Asia Times และอับดุลการิมได้ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย
หัวใจสำคัญของแถลงการณ์อยู่ที่ข้อเสนอ 3 ข้อดังนี้
1. การพูดคุยต้องเกิดจากความต้องการของทั้งสองฝ่ายซึ่งสมัครใจที่จะหาทางออกร่วมกันและจะต้องมีบุคคลที่สาม (ประชาคมนานาชาติ) เป็นผู้สังเกตการณ์
2. ผู้ไกล่เกลี่ยต้องมีความน่าเชื่อถือและมีคุณสมบัติที่เป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติของนานาชาติ เช่น ต้องมีความเป็นกลาง ต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องดำเนินการพูดคุยตามกระบวนการที่คู่เจรจาทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกัน
3. กระบวนการเจรจานั้นต้องได้รับการออกแบบและได้รับความเห็นชอบจากคู่เจรจาทั้งสองฝ่ายก่อนเริ่มต้น
กล่าวโดยรวม ข้อเสนอสามข้อนี้สะท้อนถึงสิ่งที่บีอาร์เอ็นน่าจะเห็นว่าเป็นความบกพร่องของการพูดคุยภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ของการแก้ไขปัญหาในภาคใต้เพราะเป็นครั้งแรกที่มี “การพูดคุยสันติภาพอย่างเป็นทางการ”   โดยพล.ท. ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติในขณะนั้นและนายฮัสซัน  ตอยิบ ตัวแทนของบีอาร์เอ็นได้ลงนามในฉันทามติร่วมว่าด้วยกระบวนการพูดคุยสันติภาพ (General Consensus on Peace Dialogue Process) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556     การพูดคุยดำเนินไปหลายเดือนอย่างกระท่อนกระแท่นจนในที่สุดก็ต้องยุติลงเมื่อรัฐบาลประกาศยุบสภา
ในแถลงการณ์นี้ บีอาร์เอ็นเรียกร้องว่ากระบวนการการพูดคุยจะต้องได้รับการออกแบบและเห็นชอบจากทั้งสองฝ่ายตั้งแต่ต้น     ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ การริเริ่มเกิดจากเจรจากันระหว่างรัฐบาลไทยและมาเลเซีย โดยทางมาเลเซียได้พยายามร้องขอ แกมบีบบังคับให้บีอาร์เอ็นเข้าร่วมโดยแทบไม่มีเวลาตั้งตัว   การปรึกษาหารือในสภาองค์กรนำ (Dewan Pimpinan Parti –DPP) เกิดขึ้นหลังการลงนามไปแล้ว แต่ก็มีมติให้เดินหน้าต่อ     บีอาร์เอ็นไม่ได้เข้าร่วมอย่างเต็มที่ในช่วงแรก  แต่ก็ได้พยายามพลิกเกมด้วยการยื่นข้อเสนอ 5 ข้อในเวลาต่อมา
เงื่อนไข 5 ข้อได้แก่  1. รัฐบาลไทย (หรือที่พวกเขาเรียกว่า “นักล่าอาณานิคมสยาม”) ต้องยอมรับให้มาเลเซียเป็นผู้ไกล่เกลี่ย (mediator) ไม่ใช่แค่ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) 2. การพูดคุยจะเกิดขึ้นระหว่างชาวปาตานีซึ่งนำโดยบีอาร์เอ็นกับรัฐบาลไทย 3. ในการพูดคุยจะต้องมีพยานจากประเทศอาเซียน OIC และองค์กร NGO ต่างๆ 4. รัฐบาลไทยต้องยอมรับว่าชาวมลายูปาตานีมีสิทธิในความเป็นเจ้าของดินแดนปาตานี 5. รัฐบาลไทยต้องปล่อยผู้ถูกคุมขังในคดีความมั่นคงทุกคนและยกเลิกหมายจับทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคงโดยไม่มีเงื่อนไข
ข้อเรียกร้องของบีอาร์เอ็นทำให้รัฐบาลไทยไม่สามารถจะเดินหน้าต่อได้เพราะไม่สามารถหาคำตอบร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้   มีการขอให้ทางบีอาร์เอ็นเขียนอธิบายข้อเรียกร้องเป็นลายลักษณ์อักษร  ซึ่งในช่วงนั้นมาเลเซียเองก็เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญและอาจจะเรียกว่า “ล้ำเส้น”   มีข้อกังขาเกี่ยวกับบทบาทของมาเลเซียในเรื่องความเป็นกลาง  มีการตั้งข้อสงสัยว่ามาเลเซียอาจจะมีส่วนอย่างสำคัญในการร่างคำอธิบายข้อเรียกร้องใน “เอกสาร 38 หน้า” เพื่อผลักให้การพูดคุยเดินต่อไปได้   ซึ่งในช่วงนั้นทางฝ่ายทหารของบีอาร์เอ็นได้ออกมาประกาศผ่านยูทูปไปแล้วว่าขอยุติการพูดคุยกับรัฐบาลไทย
เนื้อหาบางตอนในแถลงการณ์นี้จึงมีน้ำเสียงวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นกลางของ “ผู้ไกล่เกลี่ย” (หรือในภาษาที่รัฐบาลไทยยอมรับได้คือ “ผู้อำนวยความสะดวก”) อยู่มากพอสมควร   ดังที่ได้ระบุไว้ในข้อที่ 2 ของข้อเสนอแนะ   แกนนำของบีอาร์เอ็นเองมีความสัมพันธ์แบบ “ทั้งรักทั้งกลัว” มาเลเซีย   เป็นความลับที่รู้กันดีว่าผู้นำของบีอาร์เอ็นหลายคนอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านนี้  ฉะนั้นมาเลเซียจึงมีอำนาจกดดันให้พวกเขาเข้าร่วมการพูดคุย  มิเช่นนั้นก็อาจเสี่ยงที่จะถูกจับกุมหรือส่งกลับประเทศไทย   การพึ่งพิงมีผลทำให้พวกเขาต้องเกรงใจ  ก่อนหน้านี้ก็มีกระแสข่าวถึงข้อเสนอที่จะให้ประเทศอื่นเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกแทน  ซึ่งหากเป็นไปได้ก็จะทำให้บีอาร์เอ็นมีอิสระในการต่อรองมากขึ้น
ข้อเสนอใหญ่สุดในแถลงการณ์ดูจะเป็นเรื่องการร้องขอให้ประชาคมนานาชาติเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์และการปฏิบัติตามหลักสากล    ประเด็นหนึ่งที่ฝ่ายขบวนการปลดปล่อยปาตานีพึงพิจารณาคือการเรียกร้องในเรื่องนี้ย่อมหมายรวมถึงการที่ฝ่ายขบวนการจะต้องถูกตรวจสอบตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศด้วย   เหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้งที่ผ่านมามีพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อ  โดยเฉพาะเด็ก  องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้ออกมาประณามเหตุการณ์เหล่านี้อย่างรุนแรง
ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งที่มีการถกเถียงกันมากเกี่ยวกับการพูดคุยสันติภาพ/สุขในปัจจุบันคือมาราปาตานีนั้นคุมกองกำลังในพื้นที่ได้เพียงไร  บีอาร์เอ็นเข้าร่วมด้วยหรือไม่  เป็นที่ชัดเจนว่าบีอาร์เอ็นไม่ได้เข้าร่วมการพูดคุยในกรอบปัจจุบัน สมาชิกบีอาร์เอ็นที่เข้าร่วมกับมาราปาตานีมาในนามส่วนตัว   มีความเห็นที่แตกต่างกันของสมาชิกบีอาร์เอ็นในเรื่องการพูดคุยสันติภาพ  บีอาร์เอ็นในฐานะองค์กรยังยืนยันเรื่องข้อเรียกร้อง 5 ข้อ  ในขณะที่สมาชิกบางส่วนต้องการที่จะเปิดโอกาสและทดลองดู    สิ่งที่ควรจะย้ำคือไม่มีกลุ่มใดที่ออกมาปฎิเสธกระบวนการสันติภาพในเชิงหลักการ   ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างบีอาร์เอ็นกับมาราปาตานีอาจจะไม่ถึงกับเป็นศัตรู   แต่มีลักษณะของการแข่งขันกันอยู่
หลักใหญ่ใจความในแถลงการณ์นี้เป็นการย้ำข้อเสนอเดิมที่ได้เคยยื่นให้กับรัฐบาลไทยไปแล้วแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง    อาจมองได้ว่าบีอาร์เอ็นลดจำนวนข้อเรียกร้องลงก็เป็นได้เพราะไม่ได้พูดถึงทั้ง 5 ข้อ  บีอาร์เอ็นอาจกำลังพยายามเสนอกรอบการพูดคุยใหม่ที่แยกต่างหากจากมาราปาตานี   การเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจเป็นความพยายามแย่งชิงการนำ   แต่ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าข้อเรียกร้องนี้จะถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงเช่นเคย  เพราะประเด็นเรื่องการยกระดับไปสู่สากล  (internationalization)  เป็นสิ่งที่รัฐไทยหวาดกลัวที่สุด  ซึ่งก็เป็นปัญหาใหญ่ที่มาราปาตานีประสบมาโดยตลอด
ถ้าใครจะสามารถทำให้รัฐไทยสามารถทะลุกรอบคิดหรือมายามติในเรื่องนี้ได้  กระบวนการสันติภาพในภาคใต้ก็คงจะเดินหน้าไปกว่านี้มากแล้ว
cr.rungrawee