เวทีวุฒิสภาฯ แจง คำตอบอยู่ในคำสั่ง! กางข้อกฎหมาย 8 ปี “ลุงตู่” ครบหรือไม่

37

วุฒิสภา จัดรายการ Morning Talk เรื่อง “8 ปี ลุงตู่ครบหรือไม่ ไปหรืออยู่” ‘ส.ว.ดิเรกฤทธิ์’ ตอกย้ำจุดยืน 8 ปี เริ่มนับ 9 มิ.ย.62 แนะ ‘ม็อบ’ รอ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ตัดสิน อย่าเพิ่งลงถนน ลั่นควรเคารพกติกา- กฎหมายบ้านเมือง ประเทศถึงเดินหน้าได้

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่รัฐสภา สมาชิกวุฒิสภา ร่วมเวที Morning Talk เรื่อง “8 ปี ลุงตู่ครบหรือไม่ ไปหรืออยู่” ในประเด็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า เมื่อช่วงเช้าเป็นการพูดคุยในเชิงวิชาการ ซึ่งมี 3 แนวทาง คือ 1.จะนับตั้งแต่ปี 2557 2.นับตั้งแต่ปี 2560 และ 3.นับตั้งแต่ปี 2562

นายเจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มาร่วมพูดคุยเห็นว่าควรนับตั้งแต่การดำรงตำแหน่งปี 2557 เพราะพิจารณามาตรา 264 ที่ให้นับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำหน้าที่ก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญด้วย ถือเป็นการนับนายกรัฐมนตรีแบบต่อเนื่อง ซึ่งจะครบ 8 ปีในวันที่ 23 ส.ค.65 ส่วนอีกแนวทางที่ให้นับตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.62 ซึ่งเป็นวันที่มีการโปรดเกล้าฯให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีที่อยู่ก่อนรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ประกาศใช้ ถือเป็นความจำเป็นของประเทศในช่วงที่มีความเปลี่ยนแปลง รัฐธรรมนูญจะต้องรองรับองค์กรที่มีอยู่เดิม เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศ การจะนับอายุนายกฯต้องนับในวันที่แต่งตั้ง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ส.ว. กล่าวว่า คำถามคือถ้านับตั้งแต่วันแต่งตั้งจะนับตั้งแต่ปี 2557 หรือปี 2562 ซึ่งมีความเห็นว่าน่าจะนับตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงนำพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกฯทั้ง 2 ฉบับ โดยฉบับแรกนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้สนองรับพระบรมราชโองการ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อาศัยความตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ส่วนพระบรมราชโองการอีกฉบับบอกไว้ชัดว่า ตามมาตรา 158 ที่ให้มีกระบวนการเงื่อนไขโดยที่รัฐสภามีมติเสียงข้างมากให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ และให้อยู่ได้ 8 ปี จึงต้องนับอายุการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.62 ส่วนที่ได้เป็นมาตั้งแต่ระยะเวลาอื่นก่อนหน้าวันที่ 9 มิ.ย.62 จึงนับไม่ได้

“ประเทศเราจะให้นาย ก. นาย ข. หรือนาย ค. เป็นผู้ว่าฯ เป็น ผบ.ตร. หรือเป็นนายกฯก็ต้องอยู่ที่คำสั่ง ซึ่งคำสั่งนั้นจะตั้งโดยใคร กฎหมายบอกไว้ จะตั้งโดยเงื่อนไขอะไร และจะออกเมื่อไร อยู่ได้อีกแค่ไหน ทำหน้าที่อย่างไร อยู่ในคำสั่งทั้งนั้น ฉะนั้นความชัดเจนจึงอยู่ที่คำสั่งทั้ง 2 ฉบับ ถ้าไปอ่านก็จะได้คำตอบว่าควรจะนับอย่างไร”

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวย้ำว่า ความเห็นเหล่านี้เป็นความเห็นเชิงวิชาการ ส่วนองค์กรที่จะวินิจฉัยคือศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อเราปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราจึงควรเคารพกติกาและกฎหมายบ้านเมือง เมื่อมีองค์กรวินิจฉัยเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว เราจะมาทะเลาะกันทำไม ใช้ความรุนแรงและลงถนนทำไม จึงต้องเคารพศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ส่วน การชุมนุมทางการเมืองในช่วงนี้จะเป็นการกดดันและมีผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็กดดันทุกครั้ง เพราะเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อประเทศ และการเมือง คือมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ซึ่งเราเคารพต่อทุกความคิดเห็น แต่ตนเห็นว่าควรอยู่ภายใต้กฎหมาย อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน เมื่อเรามีความเห็นคนอื่นก็มีความเห็น ทั้งนี้ตนคิดว่า ประเด็นเหล่านี้ไม่สามารถกดดันศาลรัฐธรรมนูญได้เพราะท่านต้องกล้าหาญและเป็นองค์กรหลักให้บ้านเมืองจึงต้องทำหน้าที่โดยไม่หวั่นไหวต่อกระแสกดดันใดๆ

กรณีกังวลต่อกระแสสังคมนอกสภาหรือไม่เห็นว่า ทุกฝ่ายควรทำหน้าที่ของตนเอง ไม่ควรมีข้อกังวลอะไร หรือมีแรงกดดันอะไรมามีผลต่อการทำหน้าที่ของส.ส.และส.ว. แต่เราก็มีดุลยพินิจและอิสระในการทำหน้าที่เช่นกัน ส่วนกรณีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเราก็จะนำคำร้องและความต้องการของประชาชนมา เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องลงถนนไปตากแดด

สำหรับการตั้งคำถามเกี่ยวกับสามัญสำนึกของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น เห็นว่า เรื่องนี้เป็นความเห็นที่แตกต่างกัน บางคนก็บอกว่าเป็นการแก้ไขปัญหาการผูกขาดอำนาจ ซึ่งมองได้ว่าเมื่อพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจก็ควรตระหนัก อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าเราต้องรักษากติกาบ้านเมือง จึงต้องพิจารณาในแง่ของกฎหมาย ส่วนฝ่ายที่บอกว่าเป็นการสนับสนุนการผูกขาดอำนาจ แต่บางฝ่ายก็อาจจะบอกว่าเราทำให้ท่านมาอยู่ในกติกา

“ถ้าศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าอยู่ไม่ได้ ครบวันที่ 24 ส.ค.65 พล.อ.ประยุทธ์ ก็ขาดคุณสมบัติและต้องออกไปอยู่แล้ว แต่หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าอยู่ได้เพราะนับตั้งแต่ปี 62 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะไม่ได้มาเป็นนายกฯโดยอัตโนมัติ เพราะจะครบวาระในปี 66 แล้ว และประชาชนทั่วประเทศจะเป็นคนตัดสินว่าจะได้อยู่ต่อจนครบปี 70 หรือไม่ ผมคิดว่าไม่เป็นปัญหา และเราควรเดินตามครรลอง ถ้าไม่เคารพกฎหมายและกติกาในอนาคตบ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้” นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว