การเยือนไต้หวันของประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐ ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐและไต้หวัน ทวีความตึงเครียด โดยล่าสุด กองทัพจีนประกาศซ้อมรบด้วยอาวุธจริงรอบอาณาเขตไต้หวัน เพื่อเป็นการโต้ตอบ
กระทรวงกลาโหมจีนประกาศเมื่อคืนวันที่ 2 ส.ค. 2565 ว่า กองทัพจีนอยู่ในสภาวะพร้อมรบและเตรียม ‘ปฏิบัติการทางทหารโดยมีเป้าหมาย’ เพื่อตอบโต้การมาเยือนไต้หวันของนางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
นอกจากนี้ กองบัญชาการยุทธฝั่งตะวันออกของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ยังระบุว่า จะมีปฏิบัติการทางหารร่วมกันใกล้อาณาเขตของไต้หวัน โดยเริ่มตั้งแต่คืนวันที่ 2 ส.ค. เป็นต้นไป โดยการปฏิบัติการซ้อมรบนี้ จะรวมถึงการซ้อมรบร่วมกันทางอากาศและทางทะเลในบริเวณทิศเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ของไต้หวัน การยิงอาวุธจริงในระยะไกลที่ช่องแคบไต้หวัน และการทดสอบขีปนาวุธในทะเลฝั่งตะวันออกของไต้หวันสำหรับ นางแนนซี เพโลซี เป็นสมาชิกรัฐสภามาถึงเกือบ 40 ปี ที่ผ่านมา มักจะวิพากษ์วิจารณ์จีนอยู่เป็นประจำ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ชัดเจนไปกว่าตอนที่เดินทางไปกรุงปักกิ่งในปี 1991 โดยเธอไปยืนถือป้ายแสดงความเห็นใจเหยื่อเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พร้อมกับเพื่อน ส.ส.ชายอีกสองคน
นางเพโลซี อายุ 82 ปีแล้ว แต่ยังกระฉับกระเฉง และไม่ปิดบังท่าทีที่เรียกได้ว่าเป็นการเผชิญหน้ากับจีนอยู่เนือง ๆ ซึ่งรวมถึงการรู้จักมักคุ้นอย่างใกล้ชิดกับองค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต ที่ต้องลี้ภัยออกจากทิเบตเมื่อปี 1959 หลังการลุกฮือต่อต้านการปกครองของจีนล้มเหลว
นางเพโลซี ยังเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลัง ผลักดันการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว ที่ออกมาชี้ว่าจีนก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ และอาจจะเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์ นางเพโลซีเคยให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Politico เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ว่า “หากคุณยืนหยัดปกป้องสิทธิมนุษยชนในจีนไม่ได้ เพียงเพราะผลประโยชน์ทางการค้า คุณก็หมดอำนาจที่ชอบธรรมในทางจริยธรรมทั้งหมด ที่จะพูดถึงสิ่งนี้ไม่ว่าที่ใดก็ตาม”
การเดินทางเยือนไต้หวันของนางเพโลซี ถือเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสที่สุดของสหรัฐฯ ที่เยือนไต้หวัน นับแต่ปี 1997 แต่เป็นข้อเท็จจริงว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้สนับสนุนการเยือนไต้หวันครั้งนี้ของเธอ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุเมื่อวันที่ 22 ก.ค. ว่ากองทัพสหรัฐฯ คิดว่า “ไม่ใช่ความคิดที่ดี และชี้ว่าอาจถูกจีนมองว่าเป็นการยั่วยุได้ แต่นางเพโลซี ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่ได้ยืนยันว่าจะไปไต้หวัน สวนกลับทันควันว่า “ฉันคิดว่าการสนับสนุนไต้หวันนั้นเป็นสิ่งสำคัญ”
ดังนั้น หากพิจารณาบทบาทและอุดมการณ์ทางการเมืองของเธอแล้ว การเดินทางเยือนไต้หวันครั้งนี้ของนางเพโลซี ยิ่งตอกย้ำจุดยืนของเธอในการต่อต้านการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มองว่าไต้หวันไม่มีอธิปไตยของตนเอง และเป็นมณฑลหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ ที่สักวันหนึ่งจีนต้องการให้กลับไปเป็นของจีน แม้ว่าจะต้องใช้กำลังทางทหารก็ตาม