มีประชาชนคนอเมริกันที่ไม่เห็นด้วยกับสงครามซีเรียได้ออกมาประท้วงทรัมป์ตามหัวเมืองใหญ่ๆของสหรัฐอเมริกาในวันศุกร์ที่ผ่านมา ปรากฎว่า หลายคนโดนเจ้าหน้าที่จับกุม ทั้งๆที่การประท้วงเป็นไปอย่างสงบ ประชาธิปไตยสไตล์อเมริกันไม่ชอบการประท้วงในบ้านตัวเอง
พอจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า การออกคำสั่งถล่มซีเรียด้วยจรวดโทมาฮ็อกในวันที่7 เมษายนที่ผ่านมาเป็นแผนของพวกรีพับรีกันสายเหยี่ยวที่เตรียมการเอาไว้แล้วเป็นอย่างดี โดยมีบุชเป็นมือที่มองไม่เห็นคอยบงการ และJohn McCain สว จากรัฐอริโซนาผู้บ้าสงครามเป็นตัวเดินเรื่องสร้างสถานการณ์
ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งMcCain, Bush และพวกอนุรักษ์นิยมอื่นๆออกมาโจมตีทรัมป์ เหมือนกับว่าพรรครีพับรีกันไม่ต้อนรับคนนอกอย่างทรัมป์ที่นำเสนอนโยบายปิดประเทศ กีดกันการค้า ต่อต้านมุสลิม กีดกันสีผิวฯลฯ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทรัมป์เป็นเพียงหุ่นเชิดของบุชเท่านั้นเอง เล่นตามบทเพื่อที่จะหลอกคนอเมริกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ตระกูลบุชยังคงทรงอิทธิพลเหนือการเมืองสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหนือพรรครีพับรีกันที่คุมทั้ง2สภาในเวลานี้
และเมื่อดูให้ถึงที่สุด เดโมแครทและรีพับรีกันต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างแยกไม่ออก อันเห็นได้จากที่สมาชิกสภาคอนเกรซส่วนใหญ่ออกมาสนับสนุนการถล่มซีเรียของทรัมป์ ทั้งๆที่ทรัมป์ไม่ได้ขออนุมัติจากสภาคอนเกรซก่อนที่จะก่อสงครามตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐ บรรดานักการเมืองในสภากลับบอกว่า ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับทรัมป์ในการทำสงครามซีเรีย ทั้งๆที่ สภาคอนเกรสเล่นงานทรัมป์จนไม่สามารถผ่านกฎหมายปฏิรูปโอบามาแคร์ และมีท่าว่ากฎหมายลดภาษีอาจจะแป๊ก ไม่ผ่านสภา
เรื่องทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า นักการเมืองสหรัฐจับมือกันสร้างละครโรงใหญ่หลอกคนอเมริกันในการแก้ปัญหาภายในที่แก้ไม่ได้ เพื่อที่เบี่ยงเบนความสนใจออกจากวาระที่บุชและพรรคพวกต้องการที่แท้จริงคือการทำสงครามในตะวันออกกลาง การปิดล้อมรัสเซีย การสกัดอิทธิพลของจีน และการเช็คบิลคิมน้อยแห่งเกาหลีเหนือ
มีรายงานว่าMcCain เดินทางไปซีเรียก่อนหน้านี้เพื่อจัดฉาก โกดังอาวุธเคมีที่เกิดเหตุระเบิดในจังหวัดIdlibอยู่ในพื้นที่ของพวกNGOs หรือพวกหัวปิงปองสีขาว (White Helmets) และพวกก่อการร้ายที่ต้านรัฐบาลอัสซาดของซีเรีย พวกNGO และหัวหน้านักรบก่อการร้ายได้รับแจ้งถึงแผนการที่จะใช้อาวุธเคมีเพื่อสังหารประชาชน ในวันอังคารที่4 เมษายน มีเครื่องบิน หรือเฮลิคอปเตอร์ไปถล่มโกดังที่เก็บอาวุธเคมี ทำให้ชาวซีเรียนตายไป80คน ทั้งเด็กและสตรี บาดเจ็บ200กว่าคน ปรากฎว่า มีพวกหัวปิงปองสีขาว และพวกนักรบสวมหน้ากากทำท่าไปช่วยเหลือเหยื่อจากแก๊ซพิษ โดยสวมหน้ากากแต่ไม่ได้ปกป้องตัวเองด้วยการสวมชุดป้องกันสารเคมีอย่างถูกต้อง พวกนี้คงต้องเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยความเขลา และรู้เท่าไม่ถึงการจากการสัมผัสคนตายที่มีสารเคมีตกค้าง
แต่สื่อตะวันตก ทรัมป์ รวมทั้งนายเบนจามิน เนธันยาฮู ผู้นำของอิสราเอลรีบออกข่าวว่า การโจมตีด้วยแก๊ซพิษเป็นฝีมือของรัฐบาลบัลซ่า อัล อัสซาดของซีเรียที่ต้องการเข่นฆ่าประชาชนของตัวเองเพื่อรักษาอำนาจ ข้อกล่าวหานี้ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากอัสซาด ภายใต้การช่วยเหลือของกองทัพรัสเซียสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่มากกว่า90%ของประเทศคืนจากกลุ่มก่อการร้ายอัลนุสรา อัลเคด้า หรือไอซิส รัฐบาลสหรัฐ นาโต้และกลุ่มประเทศอาหรับหนุนพวกนักรบก่อการร้ายเพื่อล้มซีเรียในสงครามกลางเมืองที่โหดเหี้ยมที่ดำเนินมาแล้วเป็นเวลากว่า5ปีจนทำให้ชาวซีเรียเสียชีวิตไปหลายแสนคน กลายเป็นคนไม่มีบ้านอยู่ หรือเป็นผู้อพยพอีกนับ10ล้านคน
ทางรัสเซียออกโรงเตือนอิสราเอลว่า ไม่ให้รีบด่วนสรุปว่า ใครเป็นผู้ใช้อาวุธเคมีเพื่อฆ่าประชาชนที่Idlib เพราะว่ายังไม่ได้มีการสอบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นอย่างการ แต่เพนตากอนรีบด่วนสรุปว่า ต้องรีบจัดการกับอัสซาด เพราะว่าการใช้อาวุธเคมีเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ทรัมป์พูดจานกแก้วนกขุนทองตามสกริ๊ปของเพนตากอน และสภาความมั่นคงที่ร่างให้ ทรัมป์บอกว่า การกระทำของรัฐบาลซีเรียในการใช้อาวุธเคมีเพื่อฆ่าประชาชนเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
ที่น่าสนใจคือ จังหวะของการจัดฉากสังหารหมู่ด้วยอาวุธเคมีที่ซีเรียเกิดขึ้น2วัน ก่อนหน้าที่ผู้นำจีนนาย สี จิ้นผิง จะเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่6-7เมษายน ปลายสัปดาห์ที่แล้วทรัมป์ยังส่งสัญญานอย่างแรงไปยังจีนว่า ต้องแก้ไขเรื่องการขาดดุลการค้าอย่างเร่งด่วน เพราะว่าการขาดดุลกับจีน$350,000ล้านต่อปีจะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังต้องการให้จีนช่วยจัดการกับคิมน้อย ด้วยการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ทรัมป์ประกาศว่า ถ้าสีไม่ทำ เขาจะจัดการกับคิมน้อยเอง ท่าทีของทรัมป์ทำให้บรรยาการการพูดคุยกันกับสีเป็นไปอย่างตะขิดตะขวางใจ
หลังจากเกิดเหตุชาวซีเรียนเสียชีวิตด้วยอาวุธเคมีที่ซีเรีย นายพล Jim Mattis รมว กลาโหมบินด่วนไปพบทรัมป์ที่ฟลอริด้าในวันที่6เมษายนเพื่อบรรยายสรุปมาตรการในการตอบโต้ซีเรีย หลังจากที่เขาได้หารือกับนายพลMcMaster ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงอย่างละเอียดแล้ว เรือรบ2ลำของสหรัฐที่จอดอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเตรียมจรวดโทมาฮ็อกพร้อมที่จะถล่มซีเรียเพื่อเป็นการลงโทษอัสซาด ทรัมป์จะทำอะไรได้นอกจากคล้อยตามคำแนะนำของนายพลMattis
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และภรรยาเดินทางถึงฟลอริด้าในวันที่6เมษายน แต่การเจรจาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวถึงความสัมพันธ์สหรัฐและจีนจะมีขึ้นในวันที่ 7เมษายน ปรากฎว่าเช้าตรู่ในวันนั้น ก่อนที่ทรัมป์จะเจรจากับสีตัวต่อตัว เรือรบสหรัฐ2ลำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีการยิงจรวดโทมาฮ็อคเข้าสู่สนามบินกองทัพอากาศที่เมืองHomsทางภาคตะวันตกของซีเรีย เรือรบสหรัฐยิงโทมาฮ็อคไปทั้งหมด59ลูก แต่มีเพียง23ลูกเท่านั้นที่ไปถึงเป้าหมาย ถือได้ว่าสหรัฐประกาศสงครามกับซีเรียแต่ฝ่ายเดียวไปเรียบร้อยแล้วในการปฏิบัติการทางทหารที่ไม่มีใครคาดถึง การก่อสงครามกับซีเรียในขณะที่ทรัมป์จะพูดคุยกับสี คล้ายกับว่าทรัมป์ต้องการข่มขู่จีนว่า สหรัฐจะทำอะไรก็ได้ และอาจจะเปิดสงครามในเกาหลีเหนือ หรือทะเลจีนใต้ในลักษณะเดียวกัน
ทางรัสเซียก็คงทราบถึงการเคลื่อนไหวทางทหารของสหรัฐในครั้งนี้ แต่ไม่ได้สกัดอะไร ปล่อยให้สหรัฐถล่มนำไปก่อน เพราะว่าทั่วโลกจะได้เห็นว่า
1. ทรัมป์ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐที่ก่อสงครามซีเรียโดยไม่ขออนุมัติจากสภา
2. ไม่มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบว่า ใครอยู่เบื้องหลังจากโจมตีอาวุธเคมีที่Idlib
3. ทรัมป์บอมบ์ซีเรียโดยตรง โดยไม่ขอฉันทามติจากองค์การสหประชาชาติ หรือไม่ได้ใช้เวทีของสภาความมั่นคงของยูเอ็นเพื่อขอมติก่อน แม้ว่าจะต้องโดนรัสเซียและจีนวีโต้
จะเห็นได้ว่า เป้าหมายที่โทมาฮ็อกยิงใส่กลับเป็นสนามบินของกองทัพอากาศรัสเซียที่จังหวัดHomsทางตะวันตกของซีเรีย แทนที่จะเป็นเมืองIdlibทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุอาวุธเคมีแพร่กระจาย มันชัดเจนว่า กองทัพสหรัฐต้องการสกัดกองทัพรัสเซีย และกองทัพอิหร่านที่ต่อไปอาจจะใช้ฐานทัพนี้ในการโจมตีทั้งอิสราเอล หรือซาอุดิ อาราเบียในกรณีที่สงครามตะวันออกกลางขยายวงออกไป
ทางรัสเซียออกข่าวว่า โทมาฮ็อกของสหรัฐมีประสิทธิภาพต่ำมาก เพราะว่ายิงออกไป59ลูก โดนเป้าหมายเพียง23ลูก แสดงว่าโทมาฮ็อกน่าจะหมดอายุใช้งานแล้ว ทางกองทัพเรือสหรัฐจึงยิงทิ้งยิงขว้างไปจะได้บรรจุจรวดชุดใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นขีปนาวุธอื่นก็ได้ อย่างไรก็ดี เครื่องบินMIG ของรัสเซียที่จอดอยู่ในสนามบินที่Homsเสียหายยังยับเยินไปถึง6ลำ เรื่องนี้ต้องดูว่า ทางรัสเซียจะเอาคืนอย่างไร
หลังจากที่เรือรบสหรัฐยิงโทมฮ็อกแล้ว รีบเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่ระบุเพื่อติดตั้งขีปนาวุธใหม่ กองเรือของรัสเซียที่จอดอยู่ในทะเลดำได้รับคำสั่งให้อยู่ในความเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึก ทางปูตินคงต้องมีการปรึกษาหารือกับผู้บัญชาการรบของรัสเซียว่า จะตอบโต้กองทัพสหรัฐเช่นไร จะยิงถล่มเรือรบสหรัฐในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหรือไม่เพื่อเปิดศึกยุทธนาวีกันไปเลย เพราะว่าสหรัฐเล่นยิงถล่มใส่เครื่องบินรบของรัสเซียก่อน ทำให้เกิดภาพว่า มหาอำนาจได้ไปเลยจุดของสงครามตัวแทนไปแล้ว เพราะว่าโทมาฮ็อคสหรัฐยิงใส่เครื่องบินรบของรัสเซีย
รัฐบาลทรัมป์เปลี่ยนนโยบายต่อซีเรียและเกาหลีเหนืออย่างกระทันหันในช่วงที่สีเดินทางมาเยือนฟลอริด้าพอดี ก่อนหน้านี้ ทรัมป์บอกว่า เขาจะไม่ยุ่งกับซีเรีย เพราะว่ารัสเซียทำหน้าที่ดีแล้วในการกวาดล้างพวกไอซิส และเขาต้องการทำลายพวกไอซิสให้หมดไปจากโลกใบนี้ นอกจากนี้ นายRex Tillerson รมวต่างประเทศสหรัฐยังบอกว่าอัสซาดสามารถอยู่ในอำนาจได้ต่อไป ขึ้นอยู่กับการเมืองภายในของซีเรียที่จะจัดการกันเอง แต่หลังจากมีการจัดฉากอาวุธเคมีแล้ว ท่าทีของทรัมป์และTillersonเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โดยทั้งคู่ต้องการทำสงครามเพื่อล้มอัสซาด เหมือนกับที่สหรัฐเคยทำสงครามกับยูโกสลาเวียในสมัยคลินตัน อิรักในสมัยบุช และลิเบียในสมัยโอบามาที่นำไปสู่การโค่นล้มผู้นำประเทศ และการล่มสลายของประเทศทั้ง3
ในกรณีของเกาหลีเหนือ ทั้งทรัมป์และTillersonได้ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้จีนไปบีบคิมน้อยเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์ ถ้าจีนไม่ทำ สหรัฐมีทางเลือกที่จะส่งทหารเข้าไปจัดการกับคิมน้อย หรือให้มีการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในเกาหลีใต้เพื่อถล่มเกาหลีเหนือให้ราบคาบ ทางสีน่าจะตอบกับทรัมป์ไปว่า เรื่องเกาหลีเหนือคงต้องจัดการอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าความจริงแล้ว จีนต้องการให้เกาหลีเหนือเป็นรัฐกันชนกับทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น อย่าลืมว่าสหรัฐมีฐานทัพใหญ่ และมีทหารอเมริกันประจำการหลายหมื่นนายในเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
คิมน้อยไม่เหมือนอัสซาด กัดดาฟี่ หรือซัดดัม เพราะว่าเขามีนิวเคลียร์อยู่ในมือ นุ๊กของเกาหลีเหนือสามารถยิงถึงสหรัฐอย่างสบายๆ ถ้าสหรัฐสั่งลุยเกาหลีเหนือ คงจะต้องโดนตอบโต้ด้วยนุ๊กอย่างแน่นอน โดยญี่ปุ่นและสหรัฐจะเป็นเป้าหลักของคิมน้อย
กลับมายังเหตุการณ์ที่ซีเรีย เนื่องจากรัสเซียคุมพื้นที่ส่วนใหญ่แล้ว การที่สหรัฐจะส่งกองกำลังเข้าไปคงจะยาก ถ้าจะรบจะต้องเล่นลูกยาว แต่ก็มีความเสี่ยงว่าจะถูกกองทัพรัสเซียตอบโต้อย่างรุนแรง มีความเป็นไปได้สูงกว่าที่สหรัฐจัดฉากในซีเรียเพื่อหาเหตุในการส่งกองทัพเข้าไปในอิรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าไปในเมืองโมซูล เพื่อว่าจะเอาไปยันอิหร่าน เป้าหมายหลักของสหรัฐ คือการกำจัดอิหร่าน ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของอิสราเอล และซาอุดิ อาราเบียด้วย แต่การที่เพนตากอนจะส่งทหารเข้าไปในอิรักในปริมาณที่มาก สภาคอนเกรสอาจจะต้องได้รับแจ้งให้ทราบ รวมทั้งคนอเมริกันต้องตื่นรู้
สถานการณ์ปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า ทุกฝ่ายมีการเตรียมพร้อมสูง โดยที่ไม่มีใครสามารถย่างก้าวผิดแม้แต่ก้าวเดียว
thanong
8/4/2017