“อีสท์ วอเตอร์”กางสัญญา โต้ปมจ่ายผลประโยชน์ให้รัฐน้อย ยันทำธุรกิจโปร่งใส

“อีสท์ วอเตอร์” ลั่น มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงด้านน้ำต่อเนื่อง พร้อมลงทุนพัฒนาระบบโครงข่ายท่อเพิ่มอีก 120 กม. วงเงินกว่า 2.2 หมื่นล้าน พร้อมกางสัญญา โต้ครหาจ่ายผลประโยชน์รัฐน้อยเกินไป ยันดำเนินธุรกิจโปร่งใส

วันที่ 16 มิ.ย.65 นายเชิดชาย ปิติวัชรากุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานของอีสท์ วอเตอร์ 30 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างความมั่นคงด้านน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่อง มีการลงทุนเพิ่มเพื่อสร้างเสถียรภาพในระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำมูลค่ามากกว่า 22,000 ล้านบาท เกิดเป็นโครงข่ายท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ หรือ (Water Grid) ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย และสมบูรณ์ที่สุดในอาเซียน ความยาวรวม 512 กิโลมตร เชื่อมโยงแหล่งน้ำสำคัญในภาคตะวันออกเกือบทั้งหมด ทำให้ อีสท์ วอเตอร์ สามารถบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมพื้นที่อีอีซี ลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำในสภาวะภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง

นายเชิดชาย ยังได้กล่าวถึงประเด็นผลตอบแทนแก่ภาครัฐ ว่า นอกเหนือจากการชำระค่าเช่าบริหารท่อในแต่ละปีให้แก่กรมธนารักษ์ ตั้งแต่ปี 2537-2564 ซึ่งเป็นไปตามสัญญาและอัตราที่กรมธนารักษ์กำหนด รวม 588 ล้านบาทแล้ว อีสท์ วอเตอร์ ยังจัดสรรกำไรในแต่ละปี โดยปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไว้แล้ว ประมาณ 5,500 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำดิบ ที่สะท้อนต้นทุนให้ได้กำไรที่เหมาะสม โดยจะเห็นได้จากในระยะเวลา 10 ปีแรกอัตราค่น้ำดิบเฉลี่ย 7.00 บาทต่อ ลบ.ม. และในระยะปีที่ 11-20 อัตราค่าน้ำดิบเฉลี่ย 8.50 บาทต่อ ลบ.ม. และในระยะปีที่ 21-30 อัตราค่าน้ำดิบเฉลี่ย 11.00 บาทต่อ ลบ.ม.

“30 ปีที่ผ่านมา อีสท์ วอเตอร์ดำเนินธุรกิจอยู่บนพื้นฐานความโปร่งใส บรรษัทภิบาลและความยั่งยืน รวมถึงการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อบรรลุเป้าหมายในการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อทุกภาคส่วน ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน จึงได้สนับสนุนงบประมาณด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และสิ่งแวดล้อม กว่า 100 ล้านบาท ในช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา” นายเชิดชาย ระบุ

รายงานข่าวแจ้งถึงประเด็นการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน ของ อีสท์ วอเตอร์ แก่กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ ในโครงการท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่มีการระบุว่า อีสท์ วอเตอร์ จ่ายค่าเช่าหรือบริหารระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 – 2564 ของโครงการท่อส่งน้ำดอกกราย โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง ระยะที่ 2 จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่กรมธนารักษ์ต่ำเกินไป ซึ่งตามข้อตกลงในสัญญาที่ทำไว้เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2536 ระหว่างกระทรวงการคลัง โดย นายนิพัทธ พุกกะณะสุข อธิบดีกรมธนารักษ์ขณะนั้น กับ นายวันชัย กู้ประเสริฐ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อีสท์ วอเตอร์ ขณะนั้น

สาระสำคัญระบุว่า กระทรวงการคลังยินยอมให้ อีสท์ วอเตอร์ บริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักภาคตะวันออก ระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2537 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566 โดยต้องดำเนินการดังนี้ 1. บริษัทตกลงจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ให้แก่กระทรวงการคลังในอัตรา 2 ล้านบาทต่อปี 2.ในปีใดบริษัทมียอดขายน้ำดิบเกินกว่า 200 ล้านบาทต่อปี บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน ให้กับกระทรวงการคลังในอัตรา 1% ของยอดขายน้ำดิบ และ 3.นอกเหนือจากผลประโยชน์ตอบแทนตามข้อ 1 และ 2 แล้ว หากในปีใดบริษัทมีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity ) เกินกว่า 20% บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน (Profit Sharing) ให้กับกระทรวงการคลังเพิ่มอีกในอัตรา 15 % ของส่วนที่เกิน 20%

ทั้งนี้อัตราผลประโยชน์ตอบแทนรวมตามข้อ 1 และ 2 เมื่อรวมกับผลประโยชน์ตอบแทนในข้อ 3 จะต้องไม่เกิน 6% ของมูลค่าที่แท้จริง ที่ได้มีการประเมินตามระยะเวลา และหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ของทรัพย์สินที่บริษัทเช่าจากกระทรวงการคลัง ดังนั้น ตามสัญญาที่ทำไว้มีความชัดเจนที่สุดว่า อีสท์ วอเตอร์ จะต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้กรมธนารักษ์เท่าใด การที่ออกมาระบุว่า อีสท์ วอเตอร์ จ่ายน้อยเกินไป อาจเป็นเพราะไม่ได้ศึกษารายละเอียดของสัญญาที่ทำไว้

สำหรับผลตอบแทนแก่ภาครัฐ นอกเหนือจากการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนในแต่ละปีให้แก่กรมธนารักษ์ตั้งแต่ปี 2537- 2564 รวมกว่า 600 ล้านบาทแล้ว อีสท์ วอเตอร์ ยังมีการจัดสรรกำไรในแต่ละปี โดยได้จัดสรรเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภาครัฐ ที่ถือหุ้นอยู่ใน อีสท์ วอเตอร์ จำนวน 45% เป็นเงินรวมประมาณ 5,500 ล้านบาท หลังจากจัดสรรปันผลแล้ว จะสะสมเป็นกำไรสะสมในงบการเงิน ซึ่ง ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวนรวมประมาณ 6,800 ล้านบาท หากคำนวณเป็นผลประโยชน์ส่วนเพิ่มของผู้ถือหุ้นหลักภาครัฐ 45% คิดเป็น 3,060 ล้านบาท

นอกจากนี้ อีสท์ วอเตอร์ ได้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำดิบที่สะท้อนต้นทุน ให้ได้กำไรที่เหมาะสมต่อความสามารถในการนำไปใช้ในการลงทุนได้ต่อเนื่อง เห็นได้จากช่วงระยะเวลา 10 ปีแรก อัตราค่าน้ำดิบ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 7.00 บาทต่อลบ.ม. ในระยะปีที่ 11-20 อัตราค่าน้ำดิบโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8.5 บาทต่อ ลบ.ม. และในระยะปีที่ 21-30 อัตราค่าน้ำดิบโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 11.00 บาทต่อ ลบ.ม.

ทั้งนี้ รายได้ในแต่ละปีที่ได้รับ อีสท์ วอเตอร์ นอกจากนำไปขยายการลงทุนเพิ่มตามแผนที่วางไว้ อีสท์ วอเตอร์ ยังได้ส่งภาษีเงินได้สู่ภาครัฐอย่างชัดเจน โดยปี 2559 ส่งเข้ารัฐ 331 ล้านบาท ปี 2560 ส่งเข้ารัฐ 339 ล้านบาท ปี 2561 ส่งเข้ารัฐ 588 ล้านบาท ปี 2562 ส่งเข้ารัฐ 262ล้านบาท ปี 2563 ส่งเข้ารัฐ 207ล้านบาท ปี 2564 ส่งเข้ารัฐ 263 ล้านบาท.