เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ได้มีคณะบุคคลจัดประชุมที่มัสยิดกลางปัตตานี เพื่อเคลื่อนไหวไหวก็กรณี การสั่งห้ามนักเรียนสวมฮิญาบเข้าโรงเรียนอนุบาลปัตตานี มีคนนอกและคนปัตตานีเข้าร่วม ได้ข้อสรุปยื่นหนังสือให้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯ ให้ย้ายผู้อำนวยการโรงเรียน มีการประโคมข่าวว่า เป็นการต่อสู้ที่สำคัญ แต่โดยข้อเท็จจริง ชาวปัตตานีได้ต่อสู้เรื่องนี้มาเป็นเวลา5ปีแล้ว จนได้รัยชัยชนะที่ศาลปกครองจังหวัดยะลา เหลือเพียงศาลปกครองสูงสุดอีกขั้นตอนเดียว ก็จะเป็นการต่อสู้ที่สมบูรณ์
ข้อเท็จจริงกรณี’ฮิญาบอนุบาลปัตตานี’ การต่อสู้-ความสำเร็จของ ‘คนปัตตานี’
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ได้คณะบุคคล จัดประชุมหารือที่มัสยิดกลางปัตตานี เพื่อหาทางออก เคลื่อนไหวอีกครั้ง ต่อกรณี การสั่งห้ามนักเรียนสวมชุดฮิญาบของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ซึ่งกลุ่มนี้มีคนนอกและคนปัตตานีร่วมกัน มีการประโคมข่าวว่า เป็นการต่อสู้ที่สำคัญ
โดยข้อเท็จจริง คนปัตตานีโดยผู้ปกครองนักเรียนและเด็ก 20 กว่าคนได้ต่อสู้เรื่องนี้มาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว จนได้รับชัยชนะ เมื่อศาลปกครองจังหวัดยะลาตัดสินไปแล้ว เหลือเพียงศาลปกครองสูงสุดอีกขั้นตอนเดียวที่เหลือเวลาอีกไม่นาน ก็จะสิ้นสุดและสมบูรณ์
เป็นการต่อสู้อย่างสันติ ตามระบบของกฎหมาย และไม่สร้างปมขัดแย้งให้กับสังคม หลังจากประเด็นนี้กลายเป็น บันไดขั้นหนึ่งที่อาจหมุนไปยกระดับไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคน 2 ศาสนาในระดับภาคได้
ความขัดแย้งกรณีฮิญาบอนุบาลปัตตานี นั้นเริ่มต้นตั้งแต่เปิดภาคเรียนพ.ค.ปี 2561 เมื่อนักเรียนหญิงสวมฮิญาบเข้าโรงเรียนถูกโรงเรียนสั่งห้ามและตัดคะแนนความประพฤติ ถูกกลั่นแกล้ง จนเกิดเริ่มเป็นปมปัญหา
18 พ.ค.61คณะกรรมการสถานศึกษารร.อนุบาลเรียกตัวแทนผู้ปกครองเข้าประชุมและมีคำสั่งไม่ให้นักเรียนสวมชุดฮิญาบในรร.ทำให้วันนั้น”บาบอแม”นายดือราแม มะมิงจิ ประธานกกจ.ปัตตานีและกรรมการฝ่ายมุสลิมอีก 2 ท่านได้แสดงสปิริตตัดสินใจโดยการลาออกทันที เนื่องจากไม่สามมารถผลักดันให้แก้ระเบียบของโรงเรียนได้
20 พ.ค.ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีเรียกศึกษาธิการจังหวัดและผู้เกี่ยวข้องประชุมหาทางออกทันที ด้านผู้ปกครองเริ่มรวมกลุ่มประชุมหารือกับนักวิชาการหลายฝ่าย หาทางออกที่มอ.ปัตตานี
จนถึง 15.00 น ผอ.รร.อนุบาล,กับศึกษาธิการจังหวัดและสพฐ. ออกแถลงข่าวว่า ปัญหานี้ยุติลงแล้วโดยอนุญาติให้นักเรียนสวมฮิญาบได้
แต่ทว่าปัญหาก็ยังไม่ยุติลงแต่อย่างใด จากนั้นมีการแสดงสัญลักษณ์นร.ชาวพุทธบ้างด้วยการให้นร.ชาวไทยพุทธใส่ชุดไทย มีการขึ้นป้ายผ้าประท้วงติดกำแพงวัด บรรยากาศในรร.อนุบาลเกิดเป็นปมสร้างความขัดแย้งขึ้นมาอีกรอบ
ช่วงนี้เองที่ด้านแกนนำผู้ปกครองและเด็กมีการเคลื่อนไหว หาทางออก เข้าพบประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเริ่มมีการเคลื่อนไหวโดยภาคประชาสังคม เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น 2-3 ครั้ง มีระดับผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าร่วม
23 พ.ค. ในขณะเดียวกัน สมาพันธ์ชาวพุทธชายแดนใต้จากจังหวัดยะลาร่วมกับชาวพุทธปัตตานีกว่า 100 คน ออกแถลงข่าวเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม ทางคณะบริหารการศึกษารร.อนุบาลปัตตานีมิมติ ไม่ยินยอมในเรื่องนี้ เราจะเห็นการแสดงความคิดเห็นอันแข็งกร้าวของ ‘พระสงฆ์’ในพื้นที่และที่มาจากจังหวัดใกล้เคียง ที่อย่างไรก็ไม่ยินยอมให้แก้ระเบียบของโรงเรียนและชาวพุทธส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมก็มีความเห็นคล้อยไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ยินยอมให้มีการแก้ระเบียบให้นักเรียนสวมฮิญาบ ด้วยเหตุผลเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ ต้องการอัตลักษณ์ความเป็นพุทธไว้ ยื่นหนังสือต่อ ศอ.บต.ถึงกระทรวงศึกษาธิการ
สถานการณ์ช่วงนั้นจบลงด้วยความอึมครึมตลอดมา จนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ยุติปัญหาการโต้กลับไปมา- ระหว่างพุทธกับมุสลิม หยุดปัญหาเอาไว้ก่อน เพราะปัญหานี้เริ่มเป็นปมปัญหาสร้างความขัดแย้งในพื้นที่
เมื่อทั้ง 2 ฝ่าย เกิดความคิดเห็นต่างกัน จึงเกิดเป็นรอยแยก ส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง เกิดความระหวาดระแวง สั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างชาวพุทธและมุสลิมค่อนข้างสูง ไม่เพียงเท่านั้น เกิดข้อวิภากษ์ วิจารณ์ ไปต่างๆนานา
สิ่งที่เรียกร้องทั้ง 2 ฝ่ายไม่ประสบความสำเร็จในการประณีประนอม มีเพียงการย้ายผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ มิหนำซ้ำ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกาษาธิการในเวลนั้น กลับซ้ำเติมสถานการณ์ด้วยออกออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ให้โรงเรียนในพื้นที่ธรณีสงฆ์ออกกฎระเบียบของตัวเองได้
นัยหนึ่ง ให้คำสั่งของโรงเรียนใหญ่กว่า ประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ และเท่ากับเป็นการกีดกันนักเรียนมุสลิมไม่ให้สวมฮิญาบชัดเจน ระเบียบซึ่งออกในสมัยที่นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ เป็นรมช.ศึกษาธิการ อนุญาตให้นักเรียนสวมฮิญาบได้ทั่วประเทศ ถูกบั่นทอนลง
ทางออกสุดท้ายคือบรรดาผู้ปกครองและเด็กทั้ง 20 คนต้องต่อสู้เพียงลำพัง ทั้งหมดตัดสินใจ จะเรียกร้องผ่านศาลปกครอง ในที่สุดก็ได้ความช่วยเหลือจากนักกฎหมาย ทนายความ ร่วมกันร่างหนังสือเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลปกครองจังหวัดสงขลา (สมัยนั้นยังไม่มีศาลปกครองจังหวัดยะลา) ต่อมา มีการจัดตั้งศาลปกครองจังหวัดยะลา จึงมีการโอนคดีมายังศาลปกครองจังหวัดยะลา มีคำร้อง 3 ข้อ
1.ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการ ในข้อวงเล็บเพิ่มเติม(ธรณีสงฆ์)
2.ยื่นฟ้องโรงเรียนอนุบาลเรื่องออกกฎระเบียบของโรงเรียน
3.ร้องต่อศาลปกครองให้ยื่นขอความคุ้มครองเด็กทั้ง 20 คน
ตุลาคม 61 ที่ศาลปกครองรับคำร้อง ในข้อ 3 พิจารณาให้ความคุ้มครองเด็กทั้ง 20 คน และเริ่มดำเนินคดี
จนเวลาผ่านมาถึงเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ศาลปกครองแจ้งตัวแทนกลุ่มผู้ปกครองให้มารับฟังคำพิจารณา
เมษายน 2565 ศาลปกครองจังหวัดยะลา มีคำพิพากษาให้แก้ไขระเบียบของโรงเรียนที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ อนุญาติให้นักเรียนสวมชุดฮิญาบได้
โรงเรียนอนุบาลปัตตานี แม้จะตั้งอยู่บนที่ดินธรณีสงฆ์ แต่ใช้งบประมาณแผ่นดินก่อสร้าง งบประมาณที่คนทั้งประเทศร่วมกันจ่ายเพื่อพัฒนาประเทศ รวมทั้งคนมุสลิมทุกอาชีพซึ่งย่อมได้รับผลจากการพัฒนานี้ด้วย เหมือนที่ดินของโรงเรียนมัสยิดที่มีหลายแห่งในกรุงเทพฯ ที่มัสยิดยกให้เป็นโรงเรียนของกทม. มัสยิดก็ไม่เคยไปขอให้ออกกฎให้นักเรียนทุกคนที่เข้าเรียน ต้องสวมฮิญาบแบบมุสลิม
อย่างไรก็ตาม เมื่อคดีถูกสั่งโดยศาลปกครอง ทุกฝ่ายยอมรับ แม้โรงเรียนจะยื่นอุทธรณ์ในวันถัดมา ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะผู้อำนวยการโรงเรียน มีคณะกรรมการสถานศึกษาอยู่เบื้องหลัง รวมทั้ง การยังคงห้ามนักเรียนสวมฮิญาบ มีการต่อสู้เป็นการภายใน และบางคนก็อารยะขัดขืนโดยให้ลูกคลุมฮิญาบเข้าเรียน แม้จะถูกสั่งห้าม
ความจริงแล้วคนปัตตานีและทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ได้นิ่งเฉย แต่หวังการต่อสู้จะประสบความสำเร็จ
บทความโดย คนปัตตานี