“อนุทิน”ไม่ให้ความสำคัญ ข่าวลือ ทุ่มเงิน 5-30ล้าน ซื้อ ส.ส.ล้มนายกฯ ชี้ เป็นไปไม่ได้

“อนุทิน ชาญวีรกูล” ไม่ให้ความสำคัญ กระแสข่าว ทุ่มเงิน 5-30ล้าน ซื้อ ส.ส.ล้มนายกฯ บอกเป็นไปไม่ได้ ลั่น ภท.ไม่มีแบบนี้ ยันพร้อมอุ้มรัฐบาลในศึกซักฟอก หากชี้แจงได้-ไม่ทุจริต

วันที่ 3 พ.ค.2565 เวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกรณีเป็น 1 ในบุคคลที่อยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เรื่องการดำรงตำแหน่งวาระ 8 ปี ว่า บัญชีรายชื่อดังกล่าวเป็นผลพวงมาจากการเลือกตั้งเมื่อปี 62 ที่ทุกพรรคต้องเสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรเป็นนายกฯ ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

ต่อข้อถามถึงกระแสข่าวว่าจะมีการซื้อพรรคเล็ก 5 – 30 ล้านบาท เพื่อล้ม พล.อ.ประยุทธ์ จะมีแนวทางช่วย พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไรหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มันมีแต่ข่าว ฟังดูแล้วมันมีเหตุผลหรือไม่ ถ้าฟังแล้วมันไม่เหตุผลเราก็ไม่ให้ความสำคัญ และ เมื่อถามย้ำว่า ตัวเลขมันไม่น่าจะเป็นไปได้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า การกระทำก็ไม่น่าเป็นไปได้ ส.ส.แต่ละคนถ้าเข้ามาแล้วทำตัวแบบนี้ แต่ละพรรคการเมืองต้องมีมาตรการ มีการบริหารจัดการ ซึ่ง ภท.ไม่มีแบบนี้

เมื่อถามอีกว่า กระบวนการล้มนายกฯ มีจริงหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มี ถ้าเป็นในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล เราต้องทำงานและรับผิดชอบร่วมกัน ต่อข้อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงเดือน ส.ค.สถานการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จะแย่มาก ทาง ภท.จะมีแนวทางช่วยอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เราสนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้ นายกฯ เป็นผู้มอบนโยบายมาให้แต่ละกระทรวงปฏิบัติ หากนายกฯ หรือตัวตนถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ต้องชี้แจงให้ได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ไม่สามารถชี้แจงได้หรือเกิดการทุจริตอย่างเห็นได้ชัด ก็ต้องสนับสนุนกันไป เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกันมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่สิ่งใหม่

เมื่อถามถึงกระแสข่าวการซื้อตัว ส.ส.เพื่อล้มนายกฯ จะเริ่มตั้งแต่การลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องไปถามคนที่ซื้อที่ขาย แต่ในพรรคร่วมรัฐบาลไม่มี และหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรค ยังไม่ได้นำเรื่องการควบคุม ส.ส.ไม่ได้ หรือ เรื่องหากโหวตตอนนี้เสร็จแน่มาหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อเกิดกรณีแบบนี้นายกฯต้องตัดสินใจในทางการเมือง แต่ตอนนี้ไม่ได้มีแบบนั้น ทุกคนทำงานเต็มที่ และสนับสนุนให้การทำงานของรัฐบาลราบรื่นเรียบร้อย