“เอไอเอส” ยื่นหนังสือ คัดค้าน ดีลควบรวม ”ทรู-ดีแทค” ร่ายยาว ยกข้อกฎหมาย ไม่สามารถดำเนินการได้ จี้ กสทช.ใช้อำนาจขัดขวาง ย้ำชัด การควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค เข้าข่ายครอบงำตลาด ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างร้ายแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา บริษัทแอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN)ในเครือ AIS ได้ทำหนังสือถึงประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)เพื่อชี้แจงผลกระทบและผลเสียจากการควบรวมกิจการระหว่าง “ทรูและดีแทค” โดยระบุว่า การควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคก่อให้เกิดผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด และต่อผู้บริโภคอย่างร้ายแรง ทั้งยังขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายในการจัดสรรคลื่นความถี่ และขัดต่อหลักเกณฑ์การประมูลคลื่นความถี่ด้วย เพราะการปล่อยให้เกิดการควบรวม “ทรู-ดีแทค” จะทำให้ตลาดมีการกระจุกตัวสูง ส่งผลเสียต่อการแข่งขัน
โดยเมื่อพิจารณาค่าดัชนีการแข่งขัน (HHI) ของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ 3 รายในสิ้นไตรมาส 3 ปี 2564 ที่แม้ยังไม่มีการควบรวม ตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประเทศก็มีการกระจุกตัวในอัตราที่สูงมากอยู่แล้ว หาก กสทช..อนุญาตให้มีการควบรวมธุรกิจ ก็จะยิ่งทำให้บริษัทใหม่ที่จะเกิดขึ้นมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึงร้อยละ 53 4 ส่งผลต่อค่าดัชนี HHI หลังการควบรวมมากขึ้นไปอีก ทำให้บริษัทใหม่เป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างสมบูรณ์ ส่งผลต่อการแข่งขัน และเข้าข่ายเป็นการครอบงำตลาด
นอกจากนี้ การควบรวมจะเป็นการกีดกันการเข้าสู่ตลาดของผู้แข่งขันรายใหม่ และการเติบโตของผู้แข่งขันรายเล็ก แม้แต่บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติหรือ NT ที่เป็นผู้ให้บริการอยู่ก่อน มีโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมขนาดใหญ่ ทำส่วนแบ่งทางการตลาดยิ่งน้อยลงไปอีก
“ที่สำคัญการอนุญาตให้ทรู-ดีแทคควบรวมกิจการจะก่อให้เกิดการกระจุกตัวของคลื่นความถี่ ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายในการจัดสรรคลื่นความถี่ เพราะการจัดสรรคลื่นความถี่ในแต่ละครั้ง กสทช.ได้กำหนดจำนวนคลื่นความถี่ที่ผู้ประกอบการแต่ละรายสามารถประมูลถือครองได้ หากมีการอนุญาตให้ทารูละดีแทคควบรวมกิจการกัน จะทำให้คลื่นความถี่ย่านต่างๆ ถือครองโดยบริษัทลูกอยู่ภายใต้ความเป็นเจ้าของของบริษัทแม่เดียวกันมีจำนวนที่มากกว่าที่กฎหมายกำหนด”
ทั้งนี้ กสทช.มีหน้าที่ตามกฎหมายในการพิจารณาการควบคุมธุรกิจระหว่าง “ทรูและดีแทค” ตามมาตรา 60 แห่งรัฐธรรมนูญฯพ. ศ.2560 ที่บัญญัติไว้ว่า รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิ์ในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็นสมบัติของชาติเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน และรัฐต้องจัดให้มีองค์กรของรัฐที่มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับผิดชอบ และกำกับการดำเนินการเกี่ยวกับคลื่นความถี่ให้เป็นไปตามวรรคสอง ในการนี้องค์กรดังกล่าวต้องจัดให้มีการมาตรการป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จากผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม หรือสร้างภาระแก่ผู้บริโภคเกินความจำเป็น
นอกจากนี้ มาตรา 274 ยังกำหนดให้ กสทช. มีหน้าที่โดยตรงในการรับผิดชอบและกำกับการดำเนินการเกี่ยวกับคลื่นความถี่ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบทั้งสองมาตราข้างต้น กสทช.จึงมีหน้าที่ในการกำกับดูแลคลื่นความถี่เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะ ทั้งยังต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดการแสวงหาประโยชน์จากผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม หรือสร้างภาระแก่ผู้บริโภคเกินความจำเป็น รวมทั้งการป้องกันไม่ให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ ตามมาตรา 60
ที่สำคัญ กสทช.มีหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และพรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ แล้ว ยังมีอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติมาตรา 21 พรบ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ 2544 ซึ่งเป็นกฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมเป็นการเฉพาะที่บัญญัติไว้ว่า การประกอบกิจการโทรคมนาคมนอกจากต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าแล้ว ให้คณะกรรมการกำหนดมาตรการเฉพาะตามลักษณะประกอบกิจการโทรคมนาคมมิให้ผู้รับอนุญาตกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขันในการให้บริการการโทรคมนาคม
กรณีการควบรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทค จึงไม่อยู่ในลักษณะที่กสทช.จะอนุญาตให้มีการควบรวมกิจการกันได้ หากประกาศควบรวมธุรกิจปี 2553 ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่เนื่องจากประกาศควบรวมธุรกิจปี 2553 ดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปในปี 2561 จากการที่ กสทช.ได้ออกประกาศควบรวมปี 2561 กำหนดให้ กสทช.มีหน้าที่ต้องพิจารณาว่าจะอนุมัติให้มีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมได้หรือไม่ตามข้อ 9 ซึ่งกำหนดว่า การรายงานตามข้อ 5 ข้อ6 ข้อ 7 หรือข้อ 8 ให้ถือเป็นการขออนุญาตจาก กสทช.ตามข้อ 8 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรื่องมาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2549
“การรายงานการรวมธุรกิจตามประกาศควบรวมปี 2561 นั้นกำหนดให้เป็นการขออนุญาตเท่านั้น มิได้กำหนดว่า การรายงานการรวมธุรกิจถือว่าได้รับอนุญาตแล้ว ดังนั้นเมื่อมีการรายงานการควบคุมธุรกิจตามนัยข้อ 5 แห่งประกาศควบรวมปี 2561 แล้ว ถือเป็นการขออนุญาตจาก กสทช.ตามนัยข้อ 8 แห่งประกาศป้องกันการผูกขาดปี 2549 ซึ่งกำหนดว่ากรณีที่ กสทช. เห็นว่าการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน อาจส่งผลให้เกิดการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขันในการให้บริการโทรคมนาคม กสทช.อาจสั่งห้ามการถือครองกิจการได้ ดังนั้นในการพิจารณาการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค กสทช.จึงมีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณา “อนุญาต”หรือ “ไม่อนุญาต” โดยนำหลักเกณฑ์ของประกาศป้องกันการผูกขาดปี 2549 มาใช้ควบคู่กันไปด้วย
นอกจากนี้ กสทช.มีหน้าที่ในการนำกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้ามาใช้ในการพิจารณา เพราะการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคนั้น ตามมาตรา 21 พรบ.ประกอบกิจการโทรคมนาคมปี 2544 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะที่กำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมซึ่งกำหนดไว้ว่า นอกจากต้องอยู่ในบังคับกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าแล้ว ให้คณะกรรมการกำหนดมาตรการเฉพาะตามลักษณะการประกอบธุรกิจโทรคมนาคม มิให้ผู้รับอนุญาตกระทำการอย่างใดอันเป็นการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขันในการให้บริการกิจการโทรคมนาคม
“จากบทบัญญัติกฎหมายข้างต้น น่าจะพิจารณาได้ว่า การควบรวมธุรกิจระหว่าง ทรูและดีแทค นั้น นอกจาก กสทช.จะต้องพิจารณาให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคมแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าด้วย ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงขอให้ กสทช.ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายในการกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยใช้ดุลพินิจในการพิจารณาอนุญาตการควบรวมธุรกิจระหว่าง ทรูและดีแทคอย่างรอบคอบ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและป้องกันการกระทำอันก่อให้เกิดการผูกขาด มีอำนาจเหนือตลาด ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันเพื่อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศและผู้ใช้บริการมากที่สุด”
ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมาที่ประชุมผู้ถือหุ้น บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่ หรือดีแทค ครั้งที่ 1/2565 ได้อนุมัติข้อเสนอดีลควบรวมกิจการ “ทรู-ดีแทค” ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการก่อตั้งบริษัท เทคโนโลยี-โทรคมนาคม ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับดิจิทัลของประเทศ นำเสนอบริการใหม่ให้กับลูกค้า และเร่งการพัฒนาทักษะของบุคลากรที่พร้อมให้บริการลูกค้ายุคใหม่
โดยนายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทค กล่าวว่าบริษัทเทคโนโลยี-โทรคมนาคมที่จะจัดตั้งขึ้น จะนำเสนอบริการ 5G ด้วยคุณภาพเครือข่ายที่ครอบคลุมการใช้งาน ความน่าเชื่อถือ ความเร็ว ตลอดจนบริการที่เน้นคุณค่าพร้อมการดูแลลูกค้าที่ดีขึ้น “ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจอนุมัติการควบรวมกิจการครั้งนี้ บริษัทเทคโนโลยี-โทรคมนาคม มีแผนธุรกิจ เพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการรับมือกับความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยกระดับประเทศไทย ไปสู่การเป็นผู้นำในโลกดิจิทัลได้ ”
ขณะที่ นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า วันที่ 4 เมษายน 2565 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 มีมติอนุมัติดีลควบรวมกิจการ “ทรู-ดีแทค” ในการนี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจในศักยภาพและเข้าใจความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่จะพัฒนาต่อยอดธุรกิจโทรคมนาคมไปสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยี (Technology Company) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจท่ามกลางความท้าทายของตลาดโทรคมนาคมและเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว