ไร้ทางออก 8 ปี ชะตากรรมอัยกูร์ ถูกขังลืมอย่างไร้มนุษนธรรม

ชะตากรรมมุสลิมอุยกูร์ 50 ชีวิต 8 ปีที่ถูกขังลืม อย่างไร้มนุษยธรรม

นายนล-กัณวีร์ สืบแสง คณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม พรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสแชทกับสหายเก่าซึ่งผมนับถือท่านเป็นอาจารย์ของผม ท่านชื่ออิสม่าแอน​ หมัดอะด้ำ Ismail Mad-Adam ซึ่งผมได้เจอเมื่อกว่า 8 ปีที่ผ่านมา การที่เราได้พบกันก็ด้วยเรื่องงานในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ขณะที่ผมได้ทำงานกับสหประชาชาติด้านการให้ความช่วยเหลือชาวโรฮิงญาในพื้นที่ จนทำให้เราทั้งสองต้องร่วมมือกันช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่ออีกกลุ่มหนึ่งซึ่งตกเป็นเหยื่อของขบวนการนำพาข้ามประเทศผิดกฏหมาย คือ กลุ่มชาวอุยกูร์ มาจากมณฑลปกครองพิเศษซินเจียงอุยกูร์ ในประเทศจีน

อาจารย์ได้โพสต์ว่า “ส.ส.หรือ ส.ว.คนไหนกล้าคุยเรื่องอุยกูร์ที่ถูกขังลืมอย่างไร้มนุษยธรรม เป็นเวลา 8 ปีมาแล้วบ้างครับ” ประโยคนี้สะท้อนมากนะครับ ถึงผมไม่ใช่ ส.ส. ส.ว. หรือผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาต่อกลุ่มพวกนี้ได้โดยตรง แต่มันเป็นภารกิจที่ผมยังรู้สึกติดขัดอยู่ในใจว่ายังช่วยเค้าไม่สำเร็จ และผมควรจะต้องทำให้เสร็จในฐานะมนุษยชาติบนพื้นฐานทางมนุษยธรรมบนโลกใบนี้

ปลายปี 2556 ถึงต้นปี 2557 ผมยังทำงานกับสหประชาติประจำประเทศไทยและถูกส่งลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อรับผิดชอบหาทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับชาวโรฮิงญาที่ถูกขบวนการนำพาลักลอบเข้ามาในไทยและสุดท้ายตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์

ในช่วงต้นปี 2557 ผมได้รับการประสานจากทางราชการว่าได้พบกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งดูไม่เหมือนชาวโรฮิงญาสักเท่าไหร่อยู่ในป่าสวนยางแห่งหนึ่ง ณ จังหวัดสงขลา ขอให้มาดูในพื้นที่และสนับสนุนการทำงานร่วมกับฝ่ายราชการตามที่สหประชาชาติจะดำเนินการได้

กว่าจะสามารถเดินทางไปถึงพื้นที่ก็ปาเข้าไปรุ่งเช้า และกลุ่มคนประมาณ 200 กว่าชีวิต ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ได้ถูกนำตัวมาไว้ที่กองบัญชาการตรวจคนเข้าเมืองภาค 6 ใกล้สนามบินสงขลา พอเจอกลุ่มดังกล่าว ผมก็บอกพี่ๆ น้องๆ สตม. ว่าเห็นด้วยกับทุกคน “ทุกคนไม่ใช่ชาวโรฮิงญาอย่างแน่นอน !!”

ลักษณะรูปพรรณสัณฐานไปทางเอเชียครึ่งฝรั่งครึ่ง การแต่งกายดูดี และมีสิ่งของต่างๆ มากมายติดตัวมากกว่ากลุ่มชาวโรฮิงญาที่ผมได้ทำงานด้วยมาหลายเดือน ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกนี้ไม่ยอมพูดอะไรกับใครทั้งสิ้น ผู้หญิงไม่สบตากับใครทั้งนั้นโดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่ผู้ชาย และใครเข้าใกล้ลูกเล็กๆ ของพวกเค้า จะมีภาษากาย (body language) ออกมาว่า “ถ้าเข้ามามีปัญหาแน่ !!”

สตม. ส่งทั้งภาษาอังกฤษ ไทย ล่ามโรฮิงญา และยาวีแล้วก็หมดหนทางในการสื่อสาร ความนิ่งเงียบของทุกคน อากัปกิริยาที่นิ่งเฉยและดูไม่เป็นมิตรยิ่งทำให้หน่วยราชการเริ่มหมดหนทางในการติดต่อสื่อสาร บางทีคนยูเอ็นอาจเป็นโอกาสสุดท้ายในเวลาที่เร่งด่วนนี้ที่จะสามารถเริ่มสร้างบทสนทนาได้

เสื้อฟ้าตราขาวสัญลักษณ์ยูเอ็นด้านมนุษยธรรมเป็นใบเบิกทางที่เดินทางเข้าหากลุ่มคน 200 กว่าคนที่มีผู้ชายนั่งแถวหน้าทั้งหมด ผู้หญิงและเด็กนั่งแถวหลัง ผู้ชายทั้งหมดนั่งมองหน้าผมอย่างถมึงทึงเหมือนอยากรู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ก็เปิดโอกาสให้เดินเข้าใกล้และนั่งสบตาอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ผมจะพูดภาษาอังกฤษและบอกว่ามาจาก UN

ทุกคนมองผมด้วยสีหน้านิ่งเฉยแต่ตอบรับด้วยสายตาว่าอย่างน้อยมีโอกาสให้นั่งใกล้ชิดกับกลุ่มผู้ชาย ถึงแม้จะสื่อสารกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยไม่ขับไล่ ไม่รอช้าผมรายงานตรงผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เรื่องกลุ่มคนดังกล่าว และแจ้งถึงรูปพรรณสัณฐานและเรื่องราวต่างๆ จนมีข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็นชาวเอเชียกลาง !! นี่คือการคาดเดาทั้งสิ้น

ต่อตรงกับสำนักงานที่เอเชียกลางส่งล่ามออนไลน์ผ่านสายโทรศัพท์โดยเปิดลำโพง หน้านิ่งและเรียบเฉยทำให้ทราบว่าไม่ใช่แน่ จนเริ่มเอะใจไปเรื่อยๆ เลยประสานออฟฟิศที่ตุรกี พอปลายสายจากตุรกีเริ่มส่งเสียง ภาษากายของชายแนวหน้าเริ่มเคลื่อนไหว อันนี้ไม่เท่าไหร่ น้ำตาของผู้หญิงและเสียงร้องไห้ที่ผมยังจำติดใจเมื่อ 8 ปีก่อนยังระลึกถึงเสมอว่าในที่สุดเราพอรู้แล้วว่าสามารถติดต่อเค้าได้อย่างไร !!

สำนักงานส่วนกลางของผมที่กรุงเทพฯ ประสานไปยังสถานทูตตุรกีที่กรุงเทพฯ ทันที ท่านอุปทูตและคณะของ สอท.ตุรกีประจำประเทศไทย เดินทางมาถึงพื้นที่ในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับคนคนนึงซึ่งขอติดตามมาด้วย จนสุดท้ายทราบว่าคนคนนั้นคือ 1 ในชุดรัฐบาลเงาของชาวอุยกูร์ !! การมาถึงของคณะดังกล่าวสร้างเสียงร้องไห้ไปทั้ง ตม.ภาค 6 ของผู้หญิงหลายคน จนทำให้เรารู้ว่ากลุ่มนี้คือใคร มาจากไหน ทำไมต้องมา มาถึงไทยได้อย่างไร และความประสงค์ของกลุ่มเค้าคืออะไร

ตัดให้สั้นนะครับเพื่อนๆ เค้ามาจากเขตปกครองพิเศษมณฑลซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งถือว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวเติร์ก และยังคงพูดภาษาเติร์กโบราณ จนทำให้ชาวตุรกีทั้งหมดมองว่าพวกเค้าเหล่านี้คือบรรพบุรุษดั้งเดิม กลุ่ม 200 คนนี้ยอมทิ้งทุกอย่างจากบ้านเกิดเพราะกลัวการประหัตประหาร หนีตายออกมาผ่านขบวนการนำพา คือจ่ายเงินทองมาเยอะมากมายเพียงแค่ผ่านไทยและจะไปยังประเทศจุดหมายปลายทาง คือหนีตายมาจากประเทศต้นทางนั่นเอง

ผมขอไม่พูดถึงรายละเอียดทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร แต่ขอตัดบทมาว่าเกิดอะไรขึ้นและอะไรยังเกิดอยู่กับกลุ่มคนเหล่านี้

การทำงานของผมต้องหาทางให้ความคุ้มครองระหว่างประเทศต่อบุคคลในความห่วงใยของ UNHCR ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างความคุ้มครองให้ได้โดยเร็ว เพราะชีวิตของคนกว่าสองร้อยคนขึ้นอยู่กับเวลาอันน้อยนิดที่มีก่อนพวกเขาเหล่านี้จะถูกผลักดันกลับประเทศต้นทาง

ท่านเอกอัครราชทูตตุรกีได้แจ้งว่าตุรกียินดีที่จะรับคนทั้งหมดกลุ่มนี้ไปทันทีและไปสัมภาษณ์ที่ตุรกีเลย ไม่ต้องรอกระบวนการพิจารณาสถานะผู้ลี้ภัย เพราะจะใช้เวลานาน และบอกว่าหากตกลงจะส่งเครื่องบินแบบเหมาลำจากเมืองหลวงอังการามารับภายในหนึ่งวันหากรัฐบาลไทยยินยอม

ผมประสานทาง ผบก.สตม. ในเรื่องดังกล่าว กลับได้รับคำตอบว่าหากจะรับไป ทางตุรกีต้องรับคนกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันที่ยังอยู่ใน กทม. ไปอีกประมาณ 200 คนด้วย ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน นี่หมายถึงต้องประสานท่านทูตขอเครื่องบินเช่าเหมาลำอีกลำนึง !!

ท่านทูตต่อสายตรงกับนายกรัฐมนตรีที่อังการาอยู่ ไม่เกินสิบนาทีมีคำตอบจากตุรกีว่า เครื่องบินเช่าเหมาลำ 2 ลำ จะมาจากอังการาในวันพรุ่งนี้ ขอให้ทางการไทยกรุณาสนับสนุนเรื่องเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและทางตุรกีจะรับผิดชอบค่าใช่จ่ายทั้งหมด !!

เพื่อนๆ ครับ ผมอยู่ตรงนั้นเหมือนได้ช่วยคนให้หลุดพ้นจากสิ่งที่เค้าหนีมา คงไม่มีใครหรอกครับจะหอบลูกหอบหลานอายุยังไม่ถึงขวบหนีเข้ามาอยู่ในป่า เสี่ยงทั้งโรคภัยและอะไรอีกหลายอย่าง เป็นเราถ้ามันไม่ถึงที่สุด เราก็คงไม่ทำ

ทุกอย่างดูเหมือนเป็นไปด้วยดี เหนื่อยมากกับการทำงานเกือบสองอาทิตย์โดยไม่ได้พักผ่อน แต่ข่าวดีคือทาง สตช.ไทยแจ้งว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าจะแจ้งวัน ว. เวลา น. ในการให้เครื่องบินเช่าเหมาลำทั้ง 2 ลำ take off จากอังการา ประเทศตุรกีได้ คืนวันนั้น ทั้ง รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ของไทยเราก็อยู่ในพื้นที่ด้วย และท่าน รอง นรม./รมว.กระทรวงการต่างประเทศก็ทราบเรื่อง ผมหวังอย่างยิ่งว่าเรื่องคงเป็นไปด้วยดี

วันรุ่งขึ้นเหมือนฟ้าฝาดผ่านคนที่ทำงานมนุษยธรรม สตม.แจ้งว่า ให้ยุติการเตรียมการต่างๆ เครื่องบินไม่ต้องบินมา ชาวอุยกูร์ในกลุ่มนี้และที่ถูกกักใน กทม. จะไม่ได้ไปไหน เนื่องจากสถานทูตของประเทศต้นกำเนิดประสานมายังรัฐบาลไทยขอให้ชะลอทุกอย่างและขอสืบสวนสอบสวนว่ามีใครกระทำผิดกฏหมายอาญาในประเทศต้นกำเนิดหรือไม่เสียก่อน !!

ทุกอย่างหยุดชะงัก ผู้ชายถูกแยกไปกักตัวในห้องกักของ สตม. ในหลายๆ แห่ง ผู้หญิงและเด็กให้ไปอยู่ในความดูแลของบ้านพัก กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสียงระงมร้องไห้กลับมาอีกครั้งหลังจากทุกคนทราบความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ผมไม่ขอพูดในรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ขอแจ้งว่า ชายกว่า 100 คนถูกส่งกลับไปประเทศต้นทางตามการประสานงานของรัฐบาลประเทศต้นกำเนิดเพื่อไปดำเนินคดีอาญา ผู้หญิงและเด็ก 100 กว่าคนถูกส่งไปตั้งถิ่นฐานใหม่ ณ ประเทศตุรกี และชายอีก 50 กว่าคนยังคงอยู่ในห้องกักของ สตม. !!

ผมคงไม่ต้องพูดถึงคนที่ถูกส่งกลับไปว่าจะเผชิญกับสิ่งใดเพราะทุกท่านคงเดากันได้ แต่คนที่ยังถูกกักในห้องกักของ สตม. สถานที่กักกันชั่วคราวมานานกว่า 8 ปี โดยไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเอายังไงกับพวกเขานี่แหละที่มันยังค้างในใจ

ผมแค่อยากแชร์ประสบการณ์ช่วงหนึ่งในชีวิตการทำงานด้านมนุษยธรรมให้เพื่อนๆ ทราบถึงผลของขบวนการลักลอบนำพาคนเข้าเมืองผิดกฏหมาย นี่ยังดีที่พวกเค้าเหล่านี้ยังไม่ถูกกระบวนการค้ามนุษย์ซ้ำเติมนะครับ แต่แค่นี้ก็สาหัสสากรรจ์กับชีวิตมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ที่อาจจะประสบได้ไม่วันใดก็วันหนึ่งครับ

ผมได้ขอปวารณาตนว่าจะตามเรื่องนี้ไปจนสุดเส้นทางเดินการเมืองของผม ต่อกลุ่มคนอีก 50 กว่าชีวิตที่ชะตาชีวิตยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร เราคงไม่สามารถกักคนเป็นการชั่วคราวได้ยาวนานถึง 8 ปีหรอกครับ นี่ไม่ใช่ว่าทางการไทยเราอยากกักเค้านะครับ ผมทราบดีถึงผู้ปฏิบัติงาน และขอชื่นชมในการทำงานของทุกหน่วยโดยเฉพาะ สตม. และ พม. ครับ หากแต่เราต้องกล้าพิจารณาบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัยในไทย เอาปัญหาที่อยู่ใต้พรมขึ้นมาทำความสะอาดซะใหม่ทั้งระบบ

อย่ากลัวว่าประเทศไทยจะเป็นทางผ่านและสถานที่กักตุนผู้ลี้ภัยเลยครับ เพราะจากประสบการณ์ที่ผมทำงานกินนอนใช้ชีวิตเสี่ยงตายในสถานการณ์สงครามในหลายประเทศและทำงานกับผู้ลี้ภัยมา เชื่อผมเถอะครับ “ไม่มีใครอยากเป็นหรอกผู้ลี้ภัย”