เลขาฯ ปชป. ปลุกผนึกกำลังรวม ปชป.เป็นหนึ่งเดียว ปักธง “สุชัชวีร์” ต้องนั่งพ่อเมืองกทม. พ่วง 50 ส.ก. ขอเป็นแมวมอง แม้ช่วยหาเสียงไม่ได้ ด้าน “ดร.เอ้” ลั่นบ่ยั่น จะกี่ล้านก้าว ก็ขอเหยียบทุกตารางนิ้วในเมืองกรุง “ปริญญ์”อ้อนคนกรุงเทพฯ เปิดใจให้”เอ้ สุชัชวีร์-ส.ก. 50 เขต”
วันที่ 24 มี.ค.2565 เวลา 10.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคฯ ดูแล กทม. , นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ร่วมเปิดศูนย์อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่มี นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคฯ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย เป็น ผอ.ศูนย์ฯ ภายใต้แนวคิด ประชาธิปัตย์ รวมใจเป็นหนึ่งเดียว “All for Democrat” ที่ลานพระแม่ธรณี พรรคประชาธิปัตย์ โดยมีว่าที่ผูสมัคร ส.ก.ทั้ง 50 เขต อดีต ส.ส.กทม.ร่วมเปิดศูนย์ฯ อย่างคึกคัก
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า วันนี้เป็นวันหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์รอคอยอยู่ นับตั้งแต่ปี 2562 วันเลือกตั้ง ส.ส.กทม.ครั้งสุดท้าย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพรรคประชาธิปัตย์บ่มทุกอย่าง เพาะทุกอย่าง เพื่อรอวันที่เราจะกลับมาเป็นผู้นำ กทม.อีกครั้งหนึ่ง ตนอยากเรียกว่าวันนี้เป็นวันที่รอคอย ของพรรคฯ และสมาชิกพรรคฯ ตนเคยพูดตั้งแต่วันเปิดตัวนายสุชัชวีร์ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคฯว่านี่คือจุดเปลี่ยนของ กทม.จริงๆ ตนฝันมาตั้งแต่มีโอกาสเป็นเลขาธิการพรรคฯ ครั้งแรกปี 2554 ฝันว่า กทม.จะต้องเป็นเมืองที่ผู้บริหาร กทม.คืออนาคตของประเทศไทย แต่วันนั้นฝันของตนไม่เป็นจริง ซึ่งมันผ่านมาแล้ว แต่ฝันของตนคือความมุ่งมั่น ไม่ใช่ฝันลอยๆ หรือฝันกลางวัน เพราะตนต้องการเห็นประเทศไทยเปลี่ยน ไม่ใช่เฉพาะ กทม.แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนได้ภายในวันเดียว ซึ่งนายสุชัชวีร์ บอกว่าหากจะต้องเปลี่ยนประเทศไทยต้องเปลี่ยน กทม.ก่อน เพราะคำพูดนี้ตรงกลับเป้าหมายของตน ตนไม่ได้รักตัวเองคนเดียว ตนรักพี่น้องคนไทย รักประเทศไทย ตนอยากเห็นประเทศเดินไปพร้อมความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และอยากเห็นคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานการเมืองและเป็นผู้บริหารโดยมีคนรุ่นเก่าเป็นพี่เลี้ยง เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง โดยการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เป็นคนรุ่นใหม่เลือดใหม่เพื่อรองรับการบริหาร กทม.ในวันข้างหน้า
“วันนี้จึงเป็นวันที่รอคอยและเป็นวันที่ประชาธิปัตย์จะกลับมารวมใจกันอีกครั้ง เพื่อช่วย ดร.เอ้ เป็นผู้ว่าฯ กทม.ให้ได้ ขอร้องและวิงวอนสมาชิกพรรคฯ ที่อยู่ทั่วกรุงเทพฯ และอยู่ทั่วประเทศไทย ต้องมารวมใจให้เป็นหนึ่ง และทำให้ผู้สมัครของพรรคฯ เป็นผู้ว่าฯ กทม.เป็น ส.ก.ให้ได้ ผมเชื่อว่า 76 ปีที่ผ่านมา ความเป็นสถาบันการเมืองของพรรคฯ ไม่ได้ผ่านมาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ผ่านมาด้วยการสะสมอุดมการณ์ และประสบการณ์ เพื่อพัฒนาตนเอง และวันนี้จุดไหนบกพร่องและคิดว่าไม่เหมาะสมเราก็มาปรับปรุงแก้ไข เพื่อนำมาปฏิบัติ และต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น วันนี้จุดไหนต้องเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะนี่คือประชาธิปัตย์ยุคใหม่แต่อุดมการณ์และหลักการคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายปริญญ์ กล่าวว่า ความตั้งใจของทุกคนที่ทำงานไม่ใช่ว่าจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และ ส.ก.ในวันที่ 22 พ.ค.65 ทุกคนทำงานด้วยใจ อยากรับใช้พี่น้องแต่ละเขตที่ไป และเชื่อว่าทุกคนของพี่น้องที่ไปพบเหมือนญาติคนหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงโควิด ที่ลงไปช่วยด้วยใจ สิ่งนี้ทำให้ตนมั่นใจมากขึ้นว่ากรุงเทพฯ เปลี่ยนได้ ขอให้คนกรุงเทพฯเปิดใจดูนโยบายและวิสัยทัศน์ของนายสุชัชวัร์ และเปิดใจดูผลงานของผู้สมัคร ส.ก.ทุกคน เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าทำงานมาตลอดเพื่อพี่น้องในเขตของท่าน เรารอวันนี้มานานมาก 9 ปีกว่าแล้ว ที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งสุดท้าย ดังนั้น วันที่ 22 พ.ค.ตนเชื่อว่าเราเปลี่ยนกรุงเทพฯ ได้ และคนที่ทำได้คือนายสุชัชวีร์ สังคมดีไม่มีขายถ้าอยากได้ต้องร่วมสร้าง
ขณะที่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ตนเป็นคนที่โชคดีที่สุด ที่มีครอบครัวอย่างนี้ มีบ้านหลังนี้ มีผู้ใหญ่มีครอบครัวที่ดีที่สุด มีใครบ้างที่ลงสมัครผู้ว่าแล้วมีความพร้อมมีทีมที่เข็มแข็งที่สุด วันนี้เป็นวันประกาศความพร้อมว่าไม่ใช่เฉพาะผู้ว่าฯเท่านั้น แต่นี่คือหัวใจ 50 ดวงบวก 1 เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพฯ เราทำได้ ที่ผ่านมาตนเดินมาหมดแล้วจึงรู้ว่าทำไมผู้ว่าฯ กทม.ต้องมี ส.ก.ที่เข้มแข็ง ทำไมผู้ว่าฯ ต้องสังกัดพรรคการเมือง เพราะแต่ละพื้นที่นั้นมีปัญหาแตกต่างกัน เราจึงมีความพร้อม
“ผมเดินมาแล้ว 50 เขต จากนี้ไปอีก 2 เดือน ผมจะบอกว่าพี่ๆ จะมีผมอยู่ทุกที่ ผมจะเป็นพี่น้องของพี่ จะเป็นตัวแทนของพี่ที่ขยันที่สุด ที่ต่อสู้ที่สุด และจะมุ่งมั่นที่สุด เราเดินทางแล้วเดินล้านก้าว เราจะไปเดินอีกกี่ล้านก้าวก็บ่ยั่นแล้ว วันนี้ทุกก้าวจะไปบอกกับพี่น้องประชาชนให้มั่นใจพรรคประชาธิปัตย์” นายสุชัชวีร์ กล่าว