“นพ.ระวี มาศฉมาดล” หน.พรรคพลังธรรมใหม่ พ้อ”กมธ.แก้กม.ลูก”ซีกพรรคใหญ่ไม่ฟังเสียงข้างน้อย หลังชงเพิ่มที่ปรึกษาฯแต่ถูกปัด หวังสู้ต่อวาระ 2 ขจัดวงจรอุบาทว์-เผด็จการรัฐสภา
วันที่ 21 มี.ค.2565 นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่..) พ.ศ. …. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่..) พ.ศ. …. รัฐสภา กล่าวถึงการงดประชุม กมธ.ฯ 1 สัปดาห์ หลังจากที่พบ กมธ.ติดเชื้อโควิด-19 ว่า เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อระยะเวลาพิจารณาเนื้อหามากนัก อย่างไรก็ดี ในการกลับการประชุมสัปดาห์หน้า ตนจะเสนอให้ที่ประชุม เชิญผู้ที่เสนอคำแปรญัตติในมาตรา ซึ่งตรงกับประเด็นที่ กมธ.ฯ พิจารณา มาร่วมประชุมเพื่อประหยัดเวลาพิจารณา และสามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามกำหนด คือ ช่วงปลายเดือน เม.ย.นี้
นพ.ระวี กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ตนยังไม่เห็นรายละเอียดของคำแปรญัตติที่สมาชิกรัฐสภาเสนอมายัง กมธ.ทราบเพียงจำนวนผู้เสนอและจำนวนมาตราที่เสนอแก้ไขเท่านั้น อย่างไรก็ดีในการเสนอสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทราบเบื้องต้นว่ามี 3 สูตร คือ 1.สูตรของพรรคใหญ่ที่ใช้คะแนนพรรค หารด้วยจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งจะทำให้มีผลลัพธ์คะแนนต่อ ส.ส.1 คน ที่ 3.7 แสนคะแนน , 2.สูตรที่เสนอแปรญัตติ ให้ใช้คะแนนพรรค หารด้วยจำนวน ส.ส.ทั้งหมด คือ 500 คน เพื่อให้ได้ ส.ส.พึงมี โดยมีคะแนน 7.4 หมื่นคะแนนต่อ ส.ส. 1 คน และ 3.สูตรพรรคเล็ก ให้นำคะแนนของบัญชีรายชื่อ หรือคะแนนพรรครวมกับคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เขต หารด้วยจำนวน ส.ส.ทั้งหมด คือ 500 คน เพื่อให้ได้ ส.ส.พึงมี โดยจะได้คะแนน 1.5 แสนคะแนนต่อ ส.ส. 1 คน อย่างไรก็ดี ในประเด็นการคำนวณนั้น กมธ.ยังไม่ได้พิจารณาเนื้อหา แต่เบื้องต้นสูตรที่เสนอแปรญัตติและสูตรพรรคเล็กนั้น มี ส.ส.ประมาณ 30 เสียงสนับสนุน
สำหรับการทำงานใน กมธ.มีประเด็นที่ตนกังวล คือ กมธ.ที่มาจากพรรคการเมืองใหญ่ไม่ฟังเสียงข้างน้อย โดยก่อนหน้านี้ตนเสนอให้ที่ประชุมตั้งที่ปรึกษา กมธ.โดยเสนอชื่อ นายปรีดา บุญเพลิง ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคครูไทยเพื่อประชาชน และนายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ แต่ กมธ.ไม่เห็นด้วย พร้อมให้เหตุผลว่า กมธ.ทั้ง 49 คน มีจำนวนเยอะ และแต่ละคนเป็นเซียนทางกฎหมายแล้ว
“เหตุผลที่ผมเสนอเพื่อให้มีตัวแทน ส.ส.พรรคเล็กร่วมสู้ใน กมธ.ฯ ด้วย เพราะพรรคเล็กมีผมเพียงคนเดียว และได้สิทธิพูดแค่หนึ่งครั้ง ต่างจากพรรคใหญ่ และหากลงมติผมก็เป็นฝ่ายแพ้ แต่ผมเข้าใจว่าระบบประชาธิปไตยเป็นแบบนี้ ดังนั้น หากแพ้ในชั้นกรรมาธิการ ยังมีชั้นของวาระสองในรัฐสภาไว้สู้ แต่หากชั้นรัฐสภาสู้ไม่ได้ จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญในท้ายที่สุด ผมขอย้ำว่าการสู้ครั้งนี้ไม่ใช่สู้เพื่อตัวเองหรือพรรคเล็ก แต่คือการสู้กับวงจรอุบาทว์ทางการเมือง ระบบเผด็จการรัฐสภา” นพ.ระวี กล่าว