“ราเมศ”ลั่น ปชป.คือชีวิต ประกาศลดบทบาทมือกฏหมายพรรค ปัดน้อยใจ“จุรินทร์” หนุนส่งคนอื่นลงเลือกตั้ง เขต 2 พังงา แต่ขอฟังบัญชา“เฉลิมชัย”คนเดียว
วันที่ 26 ก.พ.2565 เวลา 10.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงกรณีกระแสข่าวว่าตนจะลาออก ว่าพรรคประชาธิปัตย์คือชีวิต แต่การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองย่อมมีปัญหาอุปสรรค ที่ผ่านมาตนลงพื้นที่เขต 2 จ.พังงา ประกอบด้วย 4 อำเภอ คือ อ.ตะกัวป่า ท้ายเหมือง คุระบุรี และ อ.กะปง ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งที่เพิ่มขึ้นจากการไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของพรรคยังไม่มีผู้สมัครในเขตดังกล่าว จากการลงพื้นที่ได้ทราบปัญหาจำนวนมาก ปัญหาใหญ่ที่สุดคือกระบวนการในการพิสูจน์สิทธิ์ การขีดเขตป่าให้เป็นผืนป่าของรัฐโดยรุกที่ดินของชาวบ้าน ตนคลุกคลีในพื้นที่มาตลอด ถึงเวลาที่ขออาสาทำงานให้ประชาชนในบ้านเกิด ตามกระบวนการของพรรค ข้อบังคับพรรค ในฐานะที่ตนเป็นสมาชิกพรรคมีสิทธิอันชอบธรรม ที่จะใช้สิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค ตามข้อบังคับพรรค ข้อ 17 ที่ระบุว่า สมาชิกมีสิทธิขอเสนอตัวลงเลือกตั้งในนามพรรค ในการเลือกตั้งที่ราษฎรจะเป็นผู้เลือกทั้งหมด ตนได้ทำหนังสือแสดงเจตจำนงต่อ 2 ท่าน คือ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค และนายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา ในฐานะรองหัวหน้าพรรครับผิดชอบภาคใต้ ในการเสนอตัวเป็นผู้สมัครส.ส. เขต 2 จ.พังงา
“ที่ผ่านมาผมทำงานให้พรรคมาตลอด ระหว่างลงพื้นที่มีการปล่อยข่าวต่างๆนานาว่า มีการกำหนดตัวผู้สมัครในเขตเลือกตั้งที่ 2 จ.พังงา ทั้งที่ยังไม่มีการกำหนด ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการข้อบังคับพรรค และรัฐธรรมนูญ และมีการพูดถึงว่าไม่มีใครรู้จักผม ตรงนี้เป็นเหตุผลที่เปิดแคมเปญตามหาคนรู้จัก เพื่อพิสูจน์ให้พี่น้องเขต 2 พังงา ได้รู้ว่าผมคือลูกหลานของพี่น้องประชาชน และจะเดินไปพบพี่น้องให้ได้มากที่สุด ยังมีการยกเรื่องฐานะความเป็นอยู่ของผม เรื่องส่วนตัว ฐานะส่วนตัวว่าไม่มีฐานะร่ำรวย ไม่มีเงินมากมาย เป็นลูกชาวบ้าน ผมไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ เพราะป็นเรื่องจริง ผมเป็นลูกชาวบ้าน แสดงว่าผมเป็นฐานันดรเดียวกับชาวบ้านทุกครัวเรือนที่อยู่ในเขต 2 พังงา ผมไม่พูดว่าใครเป็นคนพูด แต่จะพิสูจน์ให้เห็น ว่าลูกชาวบ้านไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานให้พี่น้องประชาชน และถ้าเกิดเป็นลูกชาวบ้านแล้วสิ้นหวัง แล้วจะให้ชาวบ้านหวังอะไรได้ต่อจากนี้” นายราเมศ กล่าว และว่า
เมื่อตนแจ้งความประสงค์จะลงพื้นที่เวลาทุกนาทีต่อจากนี้มีค่าที่สุด จึงจำเป็นต้องขอลดบทบาทเรื่องกฎหมายในส่วนกลางของพรรคลง ทุกอย่างที่ตนรับผิดชอบอยู่มีจำนวนมาก ทั้งคดีของพรรค และคดีส่วนตัวของแต่ละคน ทั้งที่อยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลรัฐธรรมนูญ และ ศาลยุติธรรม ตนได้ส่งต่อทั้งหมดให้ผู้มีอำนาจหน้าที่เรียบร้อยแล้ว แต่งานกฎหมายของพรรคเรื่องใด ที่ตนพอช่วยได้ ก็พร้อมรับคำสั่งจากนายเฉลิมชัยเท่านั้น ขอให้ท่านแจ้งมา ตนพร้อมที่จะทำงานตามบัญชาของท่าน
เมื่อถามว่า จะลาออกจากตำแหน่งโฆษกพรรคด้วยหรือไม่ นายราเมศ กล่าวเพียงสั้นๆว่า “ตำแหน่งโฆษกพรรคที่ประชุมใหญ่ของพรรคเลือกตนมา” และ เมื่อถามว่า เหตุใดจึงฟังคำสั่งเฉพาะนายเฉลิมชัย แต่ไม่รับคำสั่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายเมศ กล่าวว่า การดำเนินงานภายในของพรรค เลขาธิการพรรคเป็นผู้บริหารจัดการเรื่องนี้
เมื่อถามย้ำว่า ไม่ได้เกิดความขุ่นเคืองใจกับหัวหน้าพรรค เนื่องจากจะมีการสนับสนุนบุคคลอื่นลงสมัครในเขตดังกล่าวแทนใช่หรือไม่ นายราเมศ กล่าวว่า ตามข้อบังคับ และรัฐธรรมนูญทุกคนมีสิทธิ ถ้าเป็นสมาชิกพรรคต้องแข่งขันกันตามกระบวนการ และความเป็นธรรม
“นายจุรินทร์เป็นนักการเมืองคนแรกที่ผมรู้จัก และวิ่งตามในสมัยที่หาเสียงในเขต 2 จ.พังงา ไม่มีเหตุอันใดที่ผมจะไปขัดข้องหมองใจกับหัวหน้าพรรค ผมยังมีความเคารพในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้าพรรค ไม่มีเหตุอะไรต้องน้อยใจ ผมอยู่พรรคมา 10 กว่าปี ผ่านอะไรมามากพอสมควร” นายราเมศ กล่าว
เมื่อถามว่า ถ้าไม่ได้ลงสมัครในเขต 2 จ.พังงา ยังจะทำงานกับพรรคหรือไม่ นายราเมศ กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นในกระบวนการของพรรค และเชื่อมั่นว่าถ้ามีการทำโพล โพลนั้นจะให้โอกาสตน ให้ความเป็นธรรมกับตน ซึ่งเป็นหลักการปกติถ้ากระบวนการต่างๆตรงไปตรงมามีความเป็นธรรม
เมื่อถามว่า ถ้าทำโพลแล้วปรากฎว่าไม่ได้ อนาคตกับพรรคจะเป็นอย่างไร นายราเมศ กล่าวว่า ถ้ายังไม่มีข้อยุติ ก็เป็นเรื่องของอนาคต และพร้อมยอมรับถ้ากระบวนการถูกต้องชอบธรรม ซึ่งตนเชื่อว่าจะตรงไปตรงมา เพราะพรรคเป็นสถาบันการเมือง ซึ่งหลักการทำโพลมีอยู่ว่าต้องถามทั้งสมาชิกพรรค และประชาชนทั่วไป