นายกฯ ประกาศ ‘ไทย-ซาอุดีอาระเบีย’ ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นปกติอย่างสมบูรณ์แล้วในทุกด้าน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์ ภายหลังการเสร็จสิ้นการเดินทางเยือนประเทศซาอุดิอารเบีย ระบุว่า
เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕ ตนได้เดินทางมาเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า ๓๐ ปี
โดยในวันนี้ ได้เข้าเฝ้าฯ และพบหารือกับมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้เป็นปกติอย่างสมบูรณ์แล้ว และพร้อมที่จะเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อจากนี้ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากความพยายามในหลายระดับของทั้งสองฝ่ายที่มีมาในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการดำเนินความสัมพันธ์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งในระยะแรกจะมีการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตและการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคี เพื่อรื้อฟื้นและส่งเสริมความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน อาทิ การค้าและการลงทุน ความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน สาธารณสุข และการท่องเที่ยว รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ อาทิ สิ่งแวดล้อม พลังงานหมุนเวียน และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังยืนยันที่จะร่วมมือและสนับสนุนซึ่งกันและกันในกรอบพหุภาคีต่าง ๆ อาทิ องค์การ OIC (โอไอซี) อาเซียน GCC (จีซีซี) รวมถึงการเป็นเจ้าภาพ APEC ของไทยในปีนี้ด้วย
ในการเดินทางมาเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งนี้ มีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมคณะมาด้วย เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกหารือทวิภาคีระหว่างสองประเทศ เพื่อวางแผนและกำหนดสาขาความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศอย่างเป็นระบบและมีการบูรณาการ / ซึ่งจะเป็นกลไกการติดตาม ประเมิน และทบทวนผลการดำเนินความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายให้เป็นรูปธรรมต่อไป
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของซาอุดีอาระเบียเกี่ยวกับการอนุญาตให้แรงงานไทยกลับเข้ามาทำงานในซาอุดีอาระเบียได้ รวมถึงการส่งเสริมแรงงานฝีมือและเฉพาะทางของไทย
การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียเป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับทั้งสองประเทศทั้งในมิติการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม / โดยไทยและซาอุดีอาระเบียสามารถช่วยสนับสนุนเป้าหมายในการพัฒนาของกันและกัน โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ BCG ของไทย และวิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย ค.ศ. ๒๐๓๐
การฟื้นฟูความสัมพันธ์ยังจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนสำหรับไทยและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอาหรับ โดยเฉพาะการเสริมสร้างบทบาทของไทยในฐานะ “ครัวโลก” เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของซาอุดีอาระเบีย และในฐานะ “ศูนย์กลางทางการแพทย์และการท่องเที่ยว” ของไทย / โดยคาดว่า นักท่องเที่ยวจากซาอุดีอาระเบียที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้ไทยไม่ต่ำกว่าปีละ ๕,๐๐๐ ล้านบาท อีกทั้งจะช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานของไทย ในฐานะที่ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันอันดับต้นของโลก
นอกจากนี้ เมื่อการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกันกลับมาเป็นปกติ ก็จะสามารถรื้อฟื้นการกลับเข้าไปทำงานในซาอุดีอาระเบียของแรงงานฝีมือ แรงงานภาคบริการ และแรงงานเฉพาะทางของไทย ซึ่งก่อนการลดความสัมพันธ์ระหว่างกัน เคยมีแรงงานไทยในซาอุดีอาระเบียกว่า ๓๐๐,๐๐๐ คน และสร้างรายได้ส่งกลับประเทศไทยมากกว่า ๙,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี
ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย ผมได้มีโอกาสพบปะและสอบถามความเป็นอยู่ของชุมชนไทยในซาอุดีอาระเบีย และได้ยืนยันกับพี่น้องคนไทยทุกคนว่า รัฐบาลไทยจะให้ความดูแลคนไทยในซาอุดีอาระเบียเป็นอย่างดีอย่างเช่นที่ผ่านมาแน่นอน
สุดท้าย ขอแสดงความยินดีกับการเริ่มต้นศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ไทย – ซาอุดีอาระเบียอีกครั้ง การเยือนครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์และเป็นการเปิดโอกาสสำหรับทั้งสองประเทศในการแสวงหาความร่วมมือระหว่างกันต่อจากนี้ ซึ่งจะนำมาซึ่งประโยชน์ร่วมกันของพี่น้องคนไทยและชาวซาอุดีอาระเบียอย่างแน่นอน