“เกษม” จัดหนัก ปมปั่นกระแส “ต้านมุสลิม” จี้ สำนักจุฬาราชมนตรี แจงสาธารณชน

123

สบาย สบาย สไตล์ เกษม อัชฌาสัย จัดหนัก ปม ปั่นกระแสต้านมุสลิมเพื่อบ่อนทำลายชาติ จี้ สำนักจุฬาราชมนตรี ออกมาชี้แจง ให้สาธารณชน ทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม เข้าใจ

เงียบกันไปหมดครับ ทั้งสื่อรัฐ สื่อเอกชนและที่สำคัญคือสำนักจุฬาราชมนตรี ต่อ ”กระแสต่อต้านอิสลาม” กล่าวหาว่าอิสลามจะยึดครองประเทศ แต่ไร้ปฏิกิริยาชี้แจงใดๆ ทั้งสิ้น แม้เพื่อให้เกิดความรู้ ความใจที่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่ตระหนักว่า กระแสนั้นสร้างความร้าวฉานขึ้นในหมู่คนไทยด้วยกัน โดยเฉพาะชาวพุทธ และ ชาวมุสลิม(ผู้ที่นับถืออิสลาม)

จะว่า”เงียบเป็นเป่าสาก” ก็ว่าได้ เป่าเท่าไรก็ไม่ดัง เพราะสากมัน”บื้อ” ไม่มีลิ้นเช่นแตร เป็นกระแสต่อต้าน ที่ถูกปล่อยออกมา เป็นระลอกๆ ทางสื่อดิจิตัลในช่วงเวลาที่ผ่านมา สามารถสร้างความเข้าใจผิด ทั้งในหมู่ ”คนบ้องตื้น” หรือแม้แต่ ”คนบ้องลึก” (ก็ย่อมได้) หาก ”เจตนา” เข้าใจด้วยอคติ หรือแกล้งเข้าใจ

กระแสการสร้างความเกลียดชังว่า ยิ่งมาก็ยิ่งแรง กระทำกันเป็นกระบวนการ เป็นขั้นเป็นตอน โดยกลุ่มคนมีความรู้ คือรู้ทั้งในทางโลกทางและในทางธรรม ไม่เช่นนั้น จะ”สร้างเรื่อง” โดยเอาเรื่องจริงมาทำเป็นเรื่องเท็จ เอาเรื่องเท็จมาทำเป็นเรื่องจริง อย่างละเอียดลออ ดูแล้วน่าเชื่อถือ ได้อย่างไร หรือ เพราะมันตอบสนองต่ออคติที่มีอยู่ก่อนแล้ว

เท่าที่รู้มานั้น ว่ากันว่าคนที่ทำ มีทั้งคนระดับนายพลและพระสงฆ์ผู้ใหญ่ เท็จจริงอย่างไรไม่อาจยืนยัน (นี่คือวิธีหนึ่งในการกล่าวหา ซึ่งพวกนี้มักนำมาใช้) เป็นปฏิกิริยาในรูปการรณรงค์สร้างความเกลียดชังศาสนาอิสลามในไทย ว่ากันตรงๆ ก็คือ สร้างความเกลียดชังชาวมุสลิม หรือคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลามนั่นเอง ถามมาดังๆ ว่า มีเหตุผลอะไรที่กลุ่มนี้ออกมาสร้างกระแส หรือว่า บ้านเมืองยังวุ่นวายไม่พอ

ก็ไม่ รู้ว่าเผอิญไปทำระยำบน ”กบาล” พวกมันอย่างไรเข้า ทั้งๆ ที่พวกเขา(มุสลิม)อยู่กันอย่างสันติ มาเกือบจะพร้อมกับการเกิดของอาณาจักรสยาม ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยแล้ว แถมยังช่วยปกป้องบ้านเมืองมาทุกยุคและสมัย รวมทั้งในสมัยอยุธยาด้วย (หลักฐานคือลูกหลาน “กองอาสาจาม”ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่”บ้านครัวเหนือ”ในปัจจุบัน)

หลังสุดนี่มาตั้งประเด็นในโพสต์ลงเฟซบุ๊กว่า “เปลี่ยนมัสยิด 1,000 แห่ง ให้เป็น ธ.อิสลาม” อ่านพบแล้ว ใครที่มีสติ ก็จะตั้งคำถามว่า บ้านนี้เมืองนี้ จะทำได้อย่างนั้นเลยหรือ แต่ถ้าใคร”บ้องตื้น” ก็เชื่อเลย ไม่ไตร่ตรอง แถมรู้สึกเกลียดอิสลามด้วย โพสต์ดังกล่าว กระทำภายใต้ตราธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ลงข้อความว่า

”พิธีลงนามข้อตกลงบันทึกความร่วมมือ (MOU)โครงการชุมชนซื่อสัตย์ เพื่อพัฒนาสังคมมุสลิมระหว่าง ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยกับคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2564 เวลา 09.00 – 09.30 น. ณ ห้องแกรนด์มีรอช บอลรูม รับชมผ่านทาง fLIVE Islamic Bank of Thailand – Bank” ทั้งนี้ ลงอักษรตัวแดงขนาดใหญ่คาดกลางข้อความดังกล่าวว่า “เปลี่ยนมัสยิด 1,000 แห่ง ให้เป็น ธ.อิสลาม ด้วยงบแผ่นดินล้วนๆ”

แต่ที่น่ากลัวมากไปกว่า ก็คือ การเขียนข้อความจงใจยุยง ให้เกิดแตกสามัคคี ระหว่างคนไทยด้วยกันคือ : อิสลาม รุกคืบ ชุมชนไทยพุทธ ต่อไปคนในชุมชนจะกู้เงินต้องเปลี่ยน ศาสนา…คลื่นใต้น้ำ ถ้าพุทธไม่ลุกขึ้นสู้ เสียเมืองแน่นอน ผมตรวจสอบพบว่า ข้อความนี้ มาจากเฟซบุ๊ก ชื่อ พุทธ ของ สยาม ซึ่งปรากฏว่า เมื่อตรวจดูย้อนกลับไป พบว่าเฟซบุ๊กนี้ โพสต์ข้อความต่างๆ ต่อต้านอิสลามและมุสลิมอย่างต่อเนื่องในทุกรูปแบบ หลายหนใช้วาจาไม่สุภาพเลย

พฤติกรรมอย่างนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ก็ไม่รู้ว่า เกิดจากกลุ่มเดียวกัน หรือต่างกลุ่มกันแยกกันโจมตี แต่กลุ่มที่มีตัวตนจริงๆ เปิดเผยไม่ปิดบัง ไม่เกรงกลัว หรือเกรงใจใคร ก็คือกลุ่มนาย”อัยย์ เพชรทอง”แห่ง”องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ”หรือ “อปพส.” กลุ่มนี้รณรงค์ต่อต้านมัสยิดไปทั่ว รวมทั้งที่จังหวัดมุกดาหาร ทั้งๆ ที่รู้ว่า เป็นพฤติกรรมที่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพ จนในที่สุดถูกฟ้องดำเนินคดี

อนึ่งเป็นความจริงที่ว่าทุกสังคม ทุกศาสนา จะต้องมีกลุ่ม”สุดโต่งตกขอบ” แต่ก็ต้องช่วยกัน”ปราม”กัน มิให้เกิดความขัดแย้ง ที่อาจจะลุกลามกลายเป็นความรุนแรง ทำลายความสามัคคีภายในชาติ การป้องปรามนั้น เป็นหน้าที่โดยตรงของทางการฝ่ายความมั่นคง และขององค์กรศาสนาที่เกี่ยวข้อง

ที่สำคัญก็คือเป็นหน้าที่หนึ่งของสื่อสารมวลชน จะต้องขุดค้นหาข้อเท็จจจริงมาตีแผ่ ในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อขจัดเหตุแห่งความขัดแย้ง ขจัดความเกลียดชัง อันอาจนำไปสู่ความรุนแรง ด้วยการทำรายงานข่าว หรือด้วยการจัดสัมมนา ให้สาธารณชนได้รับรู้โดยทั่วกัน

ถ้าไม่ทำก็เท่ากับไม่รับผิดชอบสังคมส่วนรวม ในข้อเท็จจริง หน่วยงานทั้งหมดนี้ ไม่ใส่ใจเลย โดยเฉพาะสื่อมวลชน ที่สนใจแต่เรื่องหวือหวา ข่าวที่ขายได้ ไม่มีความกล้า จะด้วยความกลัว หรือจะด้วยอะไรก็แล้ว ถือได้ว่าเป็น”ภยาคติ” อันเป็นความกลัวให้เกิด”อคติ”หรือเกิดความลำเอียง ทั้งๆที่สังคมไทย ได้รับการยกย่องเป็นสังคมพุทธที่ใจบุญ ใจกว้างและ มีความอดทน(ขันติธรรม)

มาเถิดครับ มาช่วยกันหลายๆฝ่าย ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างยุติธรรม ไม่ใช่สังคมแห่ง”มายาคติ” ปากว่า ตาขยิบ อย่าปล่อยให้พวก”สุดโต่ง”กำเริบเสิบสาน ฉวยโอกาสหาประโยชน์และกล่าวหาว่าคนไทยมุสลิมไม่ใช่คนไทยทั้งที่คนกล่าวหานั้นอาจจะมีบรรพบุรุษที่พึ่งเข้ามาในแผ่นดินสยามแค่ชั่วอายุคนเท่านั้น ถ้าอยากรู้ประวัติมุสลิมในไทยจากผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมให้ถามคนสกุลบุนนาคหรือสกุลณพัทลุงดู อย่างไรก็ตามกลุ่มสุดโต่งนี้อาจมุ่งหวังประโยชน์ทางการเมืองและจากการแตกแยก อันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ

ท้ายสุดนี้ ฝากสลามมายัง เจ้าหน้าที่สำนักจุฬาราชมนตรี ขอได้โปรด ออกมาแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ ชี้แจง หรือแสดง ความรับผิดชอบ ตามความเหมาะสม ในฐานะที่พวกท่าน เป็นตัวแทนชาวไทยมุสลิมทั้งปวง เพื่อความเข้าใจอันดีด้วยครับ

วัสลาม
เกษม อัชฌาสัย