ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทำพิธีลงนาม MOU กับ คณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย โดยมี “บิ๊กป้อม” พลอ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน เพื่อขับเคลื่อนพัฒนาชุมชนมุสลิมภายใต้”โครงการชุมชนซื่อสัตย์”
วันที่ 16 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนมุสลิมภายใต้ “โครงการชุมชนซื่อสัตย์” ระหว่าง ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี ทั้งนี้ นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กก.ผจก.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนาม โดยมี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และนายประสาน ศรีเจริญ รองประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ในนามตัวแทนจุฬาราชมนตรี เป็นสักขีพยาน ณ โรงแรมอัลมีรอซ ซ.รามคำแหง 5 กทม.นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กล่าวว่า ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการถูกต้องตามหลักชะรีอะฮ์แห่งเดียวของประเทศไทย ปัจจุบันดำเนินกิจการมาแล้ว 18 ตั้งเป้าให้เป็นสถาบันการเงิน จะได้รับความเชื่อมั่น และไว้วางใจจากพี่น้องมุสลิม ตลอดจนเป็นทางเลือกของประชาชนทั่วไปทั้งประเทศ เราตระหนักดีว่า ธนาคารถูกจัดตั้งมาเพื่อดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริม พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวไทยมุสลิมและพี่น้องพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้โดยในปี 2564 ธนาคารได้ริเริ่ม “โครงการชุมชนซื่อสัตย์” เป็นโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสชาวไทยมุสลิมเข้าถึงระบบสถาบันการเงิน และแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่สร้างความเดือดร้อนติดอยู่ในกับดักความเป็นหนี้ที่ไม่เป็นธรรมและยังเป็นการกู้ยืมเงินที่มีดอกเบี้ยขัดหลักต่อชะรีอะฮ์โครงการชุมชนซื่อสัตย์ เป็นการสนับสนุนทางการเงินด้วยการให้สินเชื่อผ่านบุคคลที่ได้รับการ แต่งตั้งเป็นตัวแทน จากคณะกรรมการมัสยิดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยตัวแทนดังกล่าวต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย นับถือศาสนาอิสลาม มีอายุตั้งแต่ 20 ปีแต่ไม่เกิน 70 ปี ประกอบอาชีพสุจริตที่ไม่ขัดต่อหลักศาสนาอิสลามและมีประวัติทางการเงินที่ดี โดย วงเงินสินเชื่อ ที่ธนาคารพิจารณาให้ตัวแทนมัสยิด จะขึ้นอยู่กับจำนวนสัปปุรุษของแต่ละพื้นที่ เริ่มต้นที่ 200,000 -1,000,000 บาท โดย วงเงิน 200,000 บาท สำหรับมัสยิดที่มีสัปปุรุษตั้งแต่ 200 ถึง 500 คน , วงเงิน 500,000 บาท สำหรับสัปปุรุษตั้งแต่ 500 ถึง 1,000 คน และ วงเงิน 1,000,000 บาท สำหรับมัสยิดที่มีสัปปุรุษตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไปผู้แทนมัสยิดจะเป็นผู้พิจารณาให้สินเชื่อแก่สัปปุรุษแต่ละราย ตามความจำเป็นแต่ไม่เกิน 10,000 บาทต่อราย ผ่อนชำระคืนภายใน 24 เดือนหรือตามที่ผู้แทนมัสยิดเห็นสมควร โดยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 จนถึง 30 พฤศจิกายน 2564 จากมัสยิดจำนวนกว่า 4,000 แห่ง ทั่วประเทศ ธนาคารขับเคลื่อนโครงการเข้าสู่มัสยิดสำเร็จแล้ว 9 จังหวัดได้แก่ ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส, สงขลา, สตูล, สุราษฎร์ธานี, ภูเก็ต กรุงเทพฯ และ อุบลราชธานี รวมทั้งสิ้นจำนวน 367 มัสยิด เบิกใช้วงเงินแล้วจำนวน 83 แห่ง และถูกส่งต่อไปยัง พี่น้องมุสลิมแล้วกว่า 2,500 คน เป็นเงินกว่า 25 ล้านบาทอย่างไรก็ตาม จากการนำร่องโครงการในช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารเล็งเห็นเสมอว่า คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นคณะผู้บริหารกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย จะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันโครงการนี้ เพื่อร่วมกันยกระดับความเป็นอยู่พี่น้องมุสลิมให้สามารถเข้าถึง แหล่งเงินของสถาบันการเงินและห่างไกลจากเงินกู้นอกระบบที่ขัดต่อหลักอิสลามให้สำเร็จได้ ” นายวุฒิชัย กล่าว และว่า สำหรับมัสยิดที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ไอแบงก์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ iBank Call Center 1302 จ.-ศ. เวลา 08.30 – 18.00 น.