นายกฯ ทักทาย พี่น้องไทยมุสลิม “อัสซะลามุอะลัยกุม” ขอสันติสุขเกิดกับภาคใต้ ชื่นชม สังคมพหุวัฒนธรรม ห่วงสถานการณ์ความรุนแรง แม้จะมีแนวโน้มลดลง วอนประชาชนติดตามเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่าเสพแต่ข่าวขัดแย้งในโซเชียล ปลุกชาวใต้สู้ บอกจนอะไรก็แก้ได้แต่อย่าจนใจ
วันที่ 15 ธ.ค. 2564 เวลา 10.00 น. ที่อาคารศูนย์ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตำบลสะเตง อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ตรวจติดตามงานด้านความมั่นคงและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้กล่าวทักทาย อัสซะลามุอะลัยกุม ขอให้สันติเกิดขึ้นกับทุกคน วันนี้มาด้วยความคิดถึงชาวใต้ และได้ติดตามการดำเนินการต่างๆมาโดยตลอด เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ และอนาคตยังมีโอกาสอีกมาก รัฐบาลพยายามเร่งแก้ปัญหาทุกอย่างให้ได้ตราบใดที่ตนยังเป็นรัฐบาลอยู่ จะทำหน้าที่ของตนในการแก้ไขปัญหาเดิม และสร้างสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นให้เป็นรูปธรรม ตนถือว่าพวกเราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันคือครอบครัวประเทศไทย ไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนศาสนาใดเราอยู่ร่วมกันได้ด้วยสังคมพหุวัฒนธรรมนายกฯ กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มาดูงานด้านความมั่นคง สถิติความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นค่อนข้างลดลง แต่ยอมรับว่ายังมีอยู่ตราบใดที่ขบวนการเหล่านี้ยังไม่ยกเลิกหรือหมดไป เหตุการณ์ก็ยังมีอยู่แบบนี้ ทั้งหมดจึงต้องช่วยกันระมัดระวัง แจ้งเตือน ทั้งตัวเองและเจ้าหน้าที่ ประเด็นความมั่นคง สังคมจะช่วยได้มากต้องรู้จักสังเกตสถานการณ์ต่างๆ ไม่เช่นนั้นเราจะขาดความระมัดระวัง เจ้าหน้าที่จะดูแลไม่ทั่วถึง ยืนยันว่าตนในฐานะนายกฯไม่เคยหยุดคิดตั้งแต่เข้ามาเป็นนายกฯครั้งแรก สิ่งที่ต้องการคือทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุข ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม สังคมจะต้องมีความเป็นธรรม มีพหุวัฒนธรรม ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สิ่งเหล่านี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงมีรับสั่งกับตนว่ารัฐบาลมีหน้าที่ทำให้ประชาชนมีความสุข มีความพึงพอใจ ตนรับพระบรมราโชบายของพระองค์ท่านมาโดยตลอดและพยายามทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา บางอย่างก้าวหน้าไปไกลมากจนไปสู่อนาคตได้ แต่บางอย่างยังพันกับปัญหาเดิมๆ จึงจำเป็นต้องตั้งเป้าหมายใหม่ในการทำงานต่อไปในปีงบประมาณ 2565 และสิ่งที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมดทุกเรื่องประชาชนต้องมีส่วนร่วมโดยรัฐสนับสนุน วันนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการการพัฒนาแก้ปัญหาความยากจนรายครัวเรือน (กพจ.) จึงขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่เพื่อนำข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่มาบูรณาการซึ่งหลายคนได้มีการปรับเปลี่ยนไปบ้างแล้ว บางคนมีทุนเพียงพอสามารถทำได้เลย แต่บางคนอาจต้องรอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งต้องมีการชี้เป้าเพื่อดำเนินการสำรวจในพื้นที่
รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาในหลายๆ เรื่องทั้งความยากจน หนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดกับคนทุกประเภทตราบใดที่เรายังมีรายได้น้อย เราต้องคิดและหาวิธีว่าทำอย่างไรจะมีรายได้ที่เพียงพอ ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ตนกังวล ซึ่งต้องคิดและทำกันใหม่ ดังนั้นนโยบายต่อไปนี้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐจะต้องคุ้มค่าต้องมีตัวชี้วัดชัดเจน โครงการใดที่ไม่มีประโยชน์ให้เอามาทำโครงการที่มีประโยชน์ อย่างเช่นเรื่องการอบรมก็ทำกันมาเยอะแล้ว ต้องดูว่าอบรมแล้วไปทำประโยชน์จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ทำก็อย่าไปอบรมกันเลยเอาเงินตรงนั้นไปสร้างให้เขาเลยดีกว่า เพราะมันเสียทั้งประโยชน์และเวลา “วันนี้ลองอ่านหนังสือพิมพ์ดู ในส่วนของมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนอะไรสักอย่างมีแบบนี้ทุกวันในสื่อโทรทัศน์ อย่าไปอ่านหน้าการเมืองเลย ปวดหัว ดูอะไรที่เป็นประโยชน์กับเราดีกว่า ดูว่ามีประโยชน์ตรงไหนจะแก้ไขอย่างไร “ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวนายกฯกล่าวอีกว่า ตนถือว่าภาคใต้เรามีความผูกพันกันดีอยู่แล้ว จึงขอให้พูดคุยกันเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและทำให้ทุกอย่างดีขึ้น อย่างไรก็ตามวันนี้กำลังพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศมุสลิมเป็นที่น่ายินดีว่าดีขึ้นเรื่อยๆ ในมุมมองของเขา จากการที่ตนได้ประสานกับประเทศหลักๆในกลุ่มมุสลิม โดยจะมีความร่วมมือกันในเร็วๆนี้จากการพูดคุยกัน เช่น ต่างประเทศอยากได้แรงงานของเราโดยเฉพาะในภาคหมอพยาบาล เพื่อป้อนแรงงาน แต่อย่าให้เขาหลอกบางคนไม่ซื่อ คนเลวก็คือเลวไม่กลับตัวกลับใจสักที
“ประเทศไทยมีสมรรถนะทางการทหารเท่าอเมริกาหรือไม่ เป็นแค่นิดนึงของเขา แต่เรามีวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ขึ้นมาคือ ความเป็นชาติ ความมีศาสนาที่หลากหลาย และสถาบันพระมหากษัตริย์นี่คือ Soft Power ของเรา ต้องทำให้ทุกคนยอมรับว่าประเทศไทยเป็นสุขได้ทุกวันนี้ เพราะเป็นแบบนี้ เราใช้กำลังกันไม่ได้ เกิดปัญหาแล้ววันหน้ามีคนมาแสวงหาประโยชน์ทุกที อย่าทำให้มันเกิดขึ้น มันต้องมีคนได้ประโยชน์เสียประโยชน์กับความขัดแย้งต่างๆทั้งปวง นายกฯไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งกับใคร”นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้มีโครงการหลายโครงการของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และอีกหลายโครงการของสถาบัน ฟังดูเป็นเรื่องใหม่ แต่จริงๆเป็นเรื่องของการประยุกต์และการพัฒนา ซึ่งสถาบันนำมาทำตรงนี้นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ ที่พระองค์ท่านไม่เคยหยุดห่วงใยพวกเราสักวัน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นชาติมาถึงทุกวันนี้ ถ้าเราไม่มีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราจะไปไหนยังไม่รู้ วันนี้อาจไปอยู่กับใครก็ยังไม่รู้เลย
พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า วันนี้เหนื่อย เหนื่อยอย่างอื่นด้วย เพราะมีหลายเรื่อง ประเทศไทยมีคน 70 ล้าน 70 ล้านน้ำใจ 70 ล้านความคิด ตนมีหน้าที่ทำให้กว่า 70 ล้านคนร่วมมือกันไปอย่างไร ตรงนี้ใครที่ยังไม่ร่วมมือคิดตามกันได้หรือไม่ ซึ่งไปบังคับกันไม่ได้ในประชาธิปไตย ที่ตนพูดมีความผิดหรือไม่ ซึ่งหลายเรื่องทำยากที่สุด ถ้าทำง่ายจบไปหลายรัฐบาลแล้วแต่เราก็ทำไปเยอะแล้วในการปูพื้นฐาน นายกฯ ทำมาตลอด 2 รัฐบาลที่ตนอยู่ตรงนี้ไม่เคยหยุดคิดไม่เคยหยุดทำ นี่คือสิ่งที่ทำมาเพียงระยะเวลาแค่นี้ ถ้าทำมาก่อนหน้านั้นตั้งเยอะตนก็คงไม่ต้องทำมากตอนนี้ แต่ไม่โทษใคร โทษใครไม่ได้ เราต้องเคารพในเสียงของประชาชน
“ขอให้ทุกคนมีความฝันร่วมกัน ฝันดี ฝันในสิ่งที่ดีๆ ถ้าเจอหน้าทะเลาะกันมันไม่น่ารัก มันโกรธไปก็เท่านั้น เจอหน้าก็ฮัมๆ ใส่กัน ภรรยาก็ยิ้มหวานใส่สามี จะโกรธจะเคืองอะไรก็ขอให้ยิ้มไว้ก่อน สามีก็ดูแลครอบครัวให้ดี ก่อนจะกล่าวหยอกล้อกับประชาชนว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือแคลเซียม คนภาคใต้มีลูกเยอะ ฟันจะเสียลูกเอาแคลเซียมไปใช้ เรื่องนี้อย่าหัวเราะ เพราะถ้ามีลูกเยอะแคลเซียมแม่ก็ไปหมด ฟันก็เริ่มล่วงไปเรื่อยๆ เพราะขาดแคลเซียม”
นายกฯ กล่าวอีกว่า “มีความฝันร่วมกันกับผมกันด้วยนะ วันนี้มีความสุขอยากจะบอกว่ามีความสุขจริงๆ เพราะโอกาสที่ผมจะมาภาคใต้มันไม่ค่อยเยอะมากนัก แต่ผมไม่มา ผมก็พยายามติดตามให้มากที่สุดผ่านกลไกที่มีอยู่แล้วรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไปด้วย มีอะไรก็บอกกันมีอะไรก็ส่งข่าวถึงนายกฯได้ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเขียนจดหมายถึงมาได้ จดหมายรักไม่ต้อง ผมพูดแหย่เล่น นายกฯชอบพูดเล่นกับพวกเราอย่าถือสาเลย อยากให้บรรยากาศคลี่คลายไม่ใช่นั่งหน้าเครียดตัวตรง”
พอพูดถึงช่วงนี้ได้มีประชาชนตะโกนขอให้รัฐบาลต่อโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นายกฯ จึงกล่าวว่า คงต้องมีไปเรื่อยๆ ทยอยให้ทีละงวดๆ ของเก่าก็เติมให้ ซึ่งรายได้มาจากภาษี แต่วันนี้การจัดเก็บภาษีได้ลดลงเนื่องจากสถานการณ์โควิด วันนี้มีสิ่งเดียวที่แก้ปัญหาได้และเปิดทุกอย่างได้ คือการฉีดวัคซีน ใครยังไม่ฉีดยกมือขึ้น โดยวันนี้ต้องฉีดครบ 2 เข็มถึงเวลาต้องไปฉีด อย่ากลัวโอมิครอน ไม่รู้จะมาอีกกี่เชื้อ ซึ่งวันที่ 14 ธ.ค.ตนได้คุยกับผู้แทนแอสตราเซเนกายืนยันว่าถ้าทุกคนฉีดวัคซีนจะลดความเสี่ยงในความรุนแรงและการสูญเสียชีวิต เป็นหลักการที่ทุกบริษัทคิดเช่นนี้หมด
ส่วนเรื่องการแพร่ระบาดและการกระจายโรคยึดมาตรการป้องกัน ถ้าทำได้ทุกครอบครัวจะปลอดภัย ไม่ว่าจะโอมิครอนหรืออะไรก็ตาม แต่อยากให้ระมัดระวังในประเพณีต่างๆของพี่น้องชาวมุสลิม เพราะบางครั้งเห็นว่าเอาหน้ากากไปไว้ใต้คางและพูดคุยกันตลอด โดยเฉพาะในร้านน้ำชา แล้วจะใส่กันไปทำไมแบบนี้ ถ้าจะบอกว่าใส่แล้วหายใจไม่ออกแล้วติดเชื้อโควิดจะทำกันอย่างไร อย่างตนใส่หน้ากากพูดก็เหนื่อยมาก พูดทั้งวัน บางเวลาต้องหันหลังแอบไปเปิดเพราะไม่ไหว แต่พวกท่านไปคุยกันที่ร้านน้ำชา 3 เวลาเดี๋ยวก็ติดกันไปหมด ขอให้ระวังกันอย่างที่สุดนะจ๊ะ นายกฯพูดกับสาธิตการใส่หน้ากากผิดวิธี
นายกฯ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “ให้รู้ว่านายกฯ มาวันนี้ด้วยความคิดถึง คิดถึงจังหู้” พร้อมระบุว่าการแก้ปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ตนพยายามมาหลายปีแล้วในการแก้ปัญหา และจะพยายามต่อไป จากนั้นนายกฯ ได้เดินทักทายประชาชนและถ่ายภาพร่วม พร้อมกล่าวว่า “ขอเพียงความเข้าใจ กำลังใจ นายกฯต้องการกำลังใจเพียงเท่านั้น”
“จนอะไรเราก็แก้ได้ แต่ถ้าจนใจมันแก้ไม่ได้ เราต้องสู้ ขอให้พี่น้องภาคใต้ต้องสู้ วันนี้เราต้องยกระดับภาคใต้ของเราให้ได้โดยเร็ว นายกฯ เป็นห่วงที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ เราต้องไปด้วยกัน ถ้าไม่ไปด้วยกันเราก็ต้องอยู่แบบนี้ ก็ไปกันไม่ได้ทั้งหมด เราต้องแก้กันทีละเปราะแล้วค่อยเดินหน้า ผมดีใจที่ได้มาพบกับพี่น้องภาคใต้และโอกาสข้างหน้าจะลงไปในทุกพื้นที่เพื่อได้เจอกับตัวจริง” ก่อนจะกล่าวอัสซะลามุอะลัยกุม และขอให้ทุกคนดำเนินโครงการให้สำเร็จ