ศบค.จ่อผ่อนคลายมาตรการ สถานบันเทิงเปิดได้หลังปีใหม่ ห่วง กทม. ติดเชื้อเพิ่ม

42

ที่ปรึกษา ศบค.”หมออุดม’ ชี้ ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เตรียมผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น วอนเข้มมาตรการ สธ. ยังหวั่นเกิดคลัสเตอร์ลอยกระทง ซ้ำรอยกฐิน-งานศพ คาดสถานบันเทิงเปิดได้หลังปีใหม่ ขอเตรียมมาตรการ-สถานที่ให้พร้อม 

วันที่ 12 พ.ย.2564 เวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่าหลังจากเปิดประเทศมาระยะหนึ่งแล้วก็พบว่าเป็นไปด้วยดี บรรยากาศคึกคักดีและเป็นไปตามเป้าหมาย ผู้ป่วยไม่ได้มากจนเกินไป แต่ที่เป็นกังวลคือหลัง 2 อาทิตย์ไปแล้ว ตอนนี้ผู้ติดเชื้อประมาณ 6,000-7,000 คนต่อวัน แต่ที่น่ากังวลคือกรุงเทพฯที่ติดวันละ 700-800 คน ไม่ยอมลงมาเป็นสัปดาห์แล้ว ทั้งที่ควรจะลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น นี่เป็นสัญญาณหนึ่งที่ส่อว่าอาจจะเริ่มมีกราฟกระดกขึ้นไปได้

“อยากฝากเตือนประชาชนทุกคน และสถานประกอบการเป็นสำคัญว่าจะต้องช่วยกันดูแลตรงนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในเรื่อง Covid Free Setting และมาตรการครอบจักรวาล เพื่อดูแลบุคลากรของเราเอง หรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเราก็ต้องตามดูแลเขา และขอเน้นย้ำว่าเมื่อสงสัยว่ามีความเสี่ยงขอให้ตรวจ ATK เชื่อว่าจะช่วยได้อย่างมาก เพื่อจะให้ตรวจพบได้ตั้งแต่เริ่มแรกและแยกกักตัวออกไป เพื่อไม่ให้ไปแพร่คนอื่น” นพ.อุดมกล่าว และว่า

จึงขอฝากพวกเราทุกคนเรื่องวัคซีน เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญว่าสามารถช่วยได้จริง เพราะที่ดูจากตัวเลขจำนวนผู้ป่วยรุนแรงที่เข้าโรงพยาบาลใส่ท่อช่วยหายใจ หรือผู้เสียชีวิตลดลง แต่ก็เช่นเดิมเมื่อลงมาถึงจุดหนึ่งแล้วจะไม่ลงไปอีก แต่อย่างไรก็ตามวัคซีนมีประโยชน์มาก ตอนนี้ประชากร 70 ล้านคน ตามแผนต้องฉีดให้ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ และเราได้ประกาศแผนจะฉีดให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ สิ้นเดือนธันวาคมนี้ แต่ตอนนี้เราจะเร่งให้ครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ให้ได้ ขอให้สื่อช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบด้วย

เนื่องจากตอนนี้มีหลายคนยังลังเล โดยเฉพาะคนสูงอายุที่รับฟังข่าวสารหลายด้าน ซึ่งตนยังยืนยันว่าวัคซีนมีประโยชน์มากกว่าโทษ ถึงแม้จะมีฤทธิ์ข้างเคียงแน่นอน แต่ก็ไม่ได้มากอย่างที่มีข่าว แต่ประโยชน์นั้นมีมากกว่ามากจริงๆ ซึ่งเห็นได้จากตัวเลขสถิติ จึงขอให้ช่วยกันมาฉีดวัคซีน เรากำลังพยายามเร่งรัดเพื่อให้การฉีดวัคซีนเป็นไปตามเป้า เนื่องจากวัคซีนเป็นตัวพื้นฐานที่ทำให้เรามีภูมิต้านทานขึ้น ถึงแม้ติดเชื้อไปก็ไม่มีอาการรุนแรง และถ้าดูจากอัตราการเสียชีวิตก็พบว่าผู้เสียชีวิต 70-80 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน และส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและมีโรคร่วม ดังนั้น ผู้สูงอายุ ผู้มีความเสี่ยงสูง ยิ่งจะต้องฉีดวัคซีน

นพ.อุดมกล่าวด้วยว่า ตอนนี้คิดว่าเปิดประเทศพอจะเดินไปได้แล้ว และที่ประชุม ศบค.วันเดียวกันนี้จะผ่อนคลายมากขึ้น ให้รอฟังจากการแถลง เป็นการผ่อนคลายมาตรการให้กับทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศจะได้มีความคล่องตัวกันมากขึ้น และที่สำคัญคือเราตั้งเป้าว่าปีใหม่อยากให้พวกเราทุกคนได้ฉลองกันอย่างเต็มที่ แต่ต้องไม่ลืมว่าเราต้องช่วยกันปฏิบัติและเคร่งครัดมาตรการสาธารณสุข การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างเป็นสิ่งสำคัญและต้องทำให้ได้ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือหากสงสัยเมื่อไหร่ให้ตรวจ ATK ทันที ตรวจได้เรื่อยๆ ทุก 3 วัน 5 วัน จนกว่าจะหมดความเสี่ยง และช่วยกันไปฉีดวัคซีนให้ครบทุกคนเป้าหมาย

ต่อข้อถามถึงช่วงเทศกาลลอยกระทงมีความเป็นห่วงหรือไม่ว่าอาจจะเกิดคลัสเตอร์ขึ้นมาก นพ.อุดมกล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงเทศกาลลอยกระทง ช่วงนี้เราก็ได้เห็นคลัสเตอร์งานกฐินและงานศพมีมาทุกวันในหลายๆ จังหวัด ดังนั้น ลอยกระทงก็เช่นกัน เนื่องจากเป็นการรวมกลุ่มของคนหมู่มาก เราเข้าใจเพราะเราเองก็อยากมีความสุขรื่นเริง เพียงแต่ขอให้ช่วยกันระมัดระวัง เพราะในความเป็นจริงเราไม่ได้ห้าม ชาวบ้านทั่วไปทุกคนไปได้ แต่ขอไม่ให้จัดอีเวนต์ใหญ่ๆ และเพียงแต่ให้ระมัดระวัง เพราะกลัวว่าพวกเราจะไม่ได้ฉลองปีใหม่เนื่องจากอยากให้ฉลองกันทุกคน

ส่วนข้อเสนอที่ให้ต่างชาติจะเข้าประเทศสามารถตรวจ ATK แทน RT-PCR มีความคืบหน้าอย่างไร นพ.อุดมกล่าวว่า เรื่องนี้เรากำลังหารือกันอยู่ เพราะตอนนี้เรามีข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ และดูประกอบจากที่หลายๆ ชาติเขาทำ อย่างประเทศอังกฤษขณะนี้เขาลดขั้นตอนลงมาก ถึงแม้ติดเชื้อจำนวนมาก แต่ตายเพียงแค่หลักสิบ ดังนั้น เพื่อความคล่องตัวจึงคิดว่าเราก็จะพยายามทำเพื่อลดขั้นตอนลงให้ได้ หรือแม้แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อครั้งเปิดงานโอลิมปิค เขาก็ใช้เครื่องตรวจแอนติเจนที่ทันสมัย ซึ่งสามารถรู้ผลได้รวดเร็วภายในครึ่งชั่วโมง และได้ผลใกล้เคียงกับ RT-PCR ซึ่งไทยได้สั่งมาใช้แล้วที่โรงพยาบาลรามาธิบดี 4 เครื่อง นำมาใช้ได้ประโยชน์มาก และได้ศึกษาเพื่อเทียบ RT-PCR ได้ผล 98-99%แต่เร็วกว่าและถูก ราคาประมาณ 550 บาท ซึ่งขณะนี้ที่ญี่ปุ่นทุกสนามบินใช้อยู่แทนการ RT-PCR อย่างไรก็ตาม ขอให้พวกเราทุกคนดูแลตัวเองกันให้ดีขอให้ได้ฉลองปีใหม่

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีมาตรการผ่อนคลายให้สถานบันเทิงอย่างไร นพ.อุดมกล่าวว่า สำหรับสถานบันเทิงเราเข้าใจว่าถึงอย่างไรก็จะต้องเปิด แต่ตอนนี้ขอให้เตรียมการให้ดีเสียก่อน เพราะที่สำคัญที่มีปัญหามากคือเรื่องการถ่ายเทอากาศ ดังนั้น เรื่องการถ่ายเทอากาศจะต้องมีการไปตรวจประเมิน ก่อนที่คุณจะทำได้ ส่วนมาตรการทางสาธารณสุขต้องทำอยู่แล้ว แต่เราก็รู้ว่าข้างในนั้นทำยากมาก การเว้นระยะห่าง แต่พอเราดื่มเหล้าเข้าไปก็จะมีการพูดคุยเสียงดัง ร้องเพลง จึงห้ามยาก แต่อย่างน้อยถ้าการระบายอากาศดี เหมือนอย่างเครื่องบินก็จะติดน้อยมาก

“ตอนนี้เราก็จะพยายาม เพราะคงเปิดแน่ เพียงแต่ว่าขอให้ได้มีการเตรียมการก่อน เพื่อให้ทางสาธารณสุขและ กทม.ได้ไปตรวจสถานที่ ซึ่งผมคิดว่าก็อาจจะหลังปีใหม่ เพราะถ้าเปิดก่อนปีใหม่ผมกลัวว่าเดี๋ยวปีใหม่เราจะไม่ได้เลี้ยงฉลอง เพราะเรามีบทเรียนกันมา 2 รอบแล้ว ที่เกิดคลัสเตอร์ใหญ่จากสถานบันเทิง ดังนั้น ผมคิดว่าใจเย็นๆ กันนิดนึง ยังไงเราให้เปิดแน่นอน เพียงแต่ขอให้เตรียมสถานที่ เตรียมมาตรการกันให้พร้อม เพื่อให้เราปลอดภัยกันมากที่สุด เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ว่ากันหรอก เรื่องผับ บาร์ คาราโอเกะ ยังไงเราก็ต้องเปิด และอาจจะต้องให้มีมาตรฐาน SHA พลัส” นพ.อุดมกล่าว