หลังจากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ออกโรงเตือน ว่ายุโรปมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และอาจมีผู้เสียชีวิต ถึงครึ่งล้านคนภายในเดือนก.พ. ปีหน้า หลังจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในยุโรปพุ่งสูงขึ้น โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งสถานการณ์หลายประเทศในยุโรปขณะนี้กลับมาเข้าขั้นวิกฤตอีกครั้ง
เริ่มจาก เยอรมนีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาอยู่ที่ 51,077 คน ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อ 2 ปีก่อน นอกจากนี้ยังเป็นตัวเลขผู้ป่วยรายวันที่มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ ขณะที่ผู้เสียชีวิตรายวันอยู่ที่ 235 คน ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากรัฐบาลไม่เร่งดำเนินการกับการแพร่ระบาด อย่างเข้มงวดและจริงจังมากกว่านี้ อาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 100,000 คน
กระทรวงสาธารณสุขเยอรมนีกล่าวว่าสถานการณ์ขณะนี้เกิดจากกลุ่มผู้ที่ต่อต้านวัคซีนซึ่งมีจำนวนมากในประเทศ โดยขณะนี้มีชาวเยอรมันที่อายุมากกว่า 12 ปีกว่า 16 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบโดส ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นเริ่มยกระดับมาตรการคุมเข้ม รวมถึงการใช้บัตรผ่านวัคซีนในสถานที่สาธารณะ ทั้งนี้ เยอรมนีมีผู้ป่วยโควิด-19 สะสม 4.91 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 97,000 คน ขณะที่ประชากรราว 55.9 ล้านคนหรือกว่า 67% ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
ทางด้านฝรั่งเศส โดย โอลิเวียร์ เวรอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้ฝรั่งเศสและประเทศเพื่อนบ้านกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 5 โดยประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ประกาศเลื่อนการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 โดยย้ำว่า “การแพร่ระบาดในฝรั่งเศสยังไม่สิ้นสุด” พร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายกลับมาปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มงวดอีกครั้ง
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ฝรั่งเศสรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,883 คน ซึ่งเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันที่มีผู้ติดเชื้อในประเทศทะลุหลักหมื่นคน ขณะที่ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนต.ค. ส่งผลให้ขณะนี้ฝรั่งเศสมีผู้ติดเชื้อสะสม 7.32 ล้านคน และผู้เสียชีวิต 1.19 แสนคน โดยมีประชากรได้รับวัคซีนครบโดสแล้วราว 69%
เช่นเดียวกับ สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่อยู่ที่ 31,541 คน และผู้เสียชีวิต 170 คน ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อรวม 7.98 ล้านคน และผู้เสียชีวิต 1.24 แสนคน สืบเนื่องมาจาก ในเดือนก.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลอังกฤษประกาศคลายล็อกดาวน์และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเรียกว่าวันแห่งเสรีภาพ (Freedom day) แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแตะที่กว่า 40,000 รายต่อวัน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการผ่อนคลายมาตรการครั้งนี้อาจส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 200,000 รายต่อวัน และมีการเรียกร้องให้รัฐบาลปรับแผนเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาด แต่ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ยืนกรานว่ารัฐบาลไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผนเพื่อควบคุมโควิด-19 เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ได้เพิ่มขึ้นเกินความคาดหมาย และสถานการณ์ขณะนี้ดีกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วเป็นอย่างมาก
โดยขณะนี้ สหราชอาณาจักร มีประชากรราว 38.5 ล้านคนหรือคิดเป็น 68.7% ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว ขณะที่ประเทศกำลังพึ่งพาการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ประชากร และหลีกเลี่ยงการตึงตัวของระบบสาธารณสุขในช่วงฤดูหนาว