หลังศาล รธน.มีมติเสียงข้างมาก 8-1 ตัดสินให้ กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย หรือ “ม็อบสามนิ้ว” มีความผิดใน ข้อหา ใช้สิทธิเสรรีภาพล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ที่สำคัญยังหมายรวมเชื่อมโยงถึง เครือข่าย กลุ่มองค์กร หรือ บุคคลที่อยู่เบื้อง ที่ให้มีการชุมนุม มีความผิดด้วยใน กรณีเดียวกัน
คงจดจำการจัดชุมนุมของบรรดากลุ่ม “ชูสามนิ้ว” ในชื่อ “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” ที่ลานพญานาค ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63 กันได้ดี ซึ่งในวันนั้น นอกจากเวที แสงสีเสียงตระการตาแล้ว เนื้อหาสาระการปราศรัยและข้อเรียกร้อง ยังพุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง
ผู้ปราศรัยหลักบนเวทีในวันนั้น คือ อานนท์ นำภา- ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง … นอกจากจะใช้ถ้อยคำที่เรียกได้ว่า จาบจ้วง ล่วงละเมิด อย่างที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน และที่ช็อกผู้คนยิ่งกว่านั้นคือ แถลงการณ์ข้อเรียกร้องที่อ้างว่าเพื่อการปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อ ที่ “รุ้ง” อ่านบนเวที
1.ยกเลิก มาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะ อันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
2.ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
3.ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561
4.ตัดลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้กับสถาบันกษัตริย์
5. ยกเลิกส่วนราชการในพระองค์
6.ยกเลิกการบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด
7. ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ
8. ยกเลิกการประชาสัมพันธ์ และการให้การศึกษาที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เพียงด้านเดียว
9. สืบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหารเข่นฆ่าราษฎร
10. ห้ามมิให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหารครั้งใดอีก
นั่นจึงเป็นที่มาของคำร้องที่ “ณฐพร โตประยูร” ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า การกระทำของทั้งสามคน เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ …
… “ข้อเรียกร้องที่ขอให้ยกเลิกรธน. มาตรา 6 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รับรองพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในฐานะทรงเป็นประมุขของรัฐที่ผู้ใดจะกล่าวหาหรือละเมิดมิได้นั้น จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง … การออกมาเรียกร้องโจมตีในที่สาธารณะ โดยอ้างการใช้สิทธิเสรีภาพตามรธน. นอกจากเป็นวิถีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคำหยาบคาย และยังไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เห็นต่างได้ด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้คนอื่นทำตาม … ยิ่งกว่านั้นการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีการดำเนินงานอย่างเป็นขบวนการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย…มีลักษณะก่อให้เกิดความวุ่นวายและความรุนแรงในสังคม…
ศาลรัฐธรรมนูญระบุชัดว่า นอกจากทั้งสามคนแล้ว ยังมีเครือข่าย ขบวนการที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข!! ภาพจำที่เห็นกันชินตาในระหว่างการชุมนุมของกลุ่มสามนิ้ว จะมีอาจารย์กลุ่มหนึ่งคอยให้กำลังใจ มีพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง และส.ส.ที่คอยวิ่งประกันตัว เวลาแกนนำถูกจับกุม รวมทั้งมีองค์กรจากต่างชาติ ก็เข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ด้วย
เมื่อคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ต่อไปนี้ บรรดาแกนนำที่ถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 112 คงออกอาการหนาวๆ ร้อนๆ จะนอนจะนั่งไม่เป็นสุข รวมทั้งพรรคการเมือง อย่างพรรคก้าวไกลที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค ผลักดันให้มีการแก้ไข ม.112 ก็มีโอกาสถูกยุบพรรค เพราะมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนไว้แล้ว
นับว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ คือจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การปัดกวาด “ขบวนการล้มล้างการปกครอง” ทั้งคนที่อยู่หน้าฉาก และผู้ชักใยบงการอยู่เบื้องหลัง
ก็ต้องติดตามกันดูหลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร เพราะ ล่าสุด นายณฐพร โตประยูร ผู้ร้องในคดีนี้ รวมถึง ไพบูลย์ นิติตะวัน จาก พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียม จะยกคำสั่ง ศาลรธน. เดินหน้า จัดการ เครือข่าย พรรคการเมืองที่ อยู่ เบื้องหลัง ซึ่งก็หนีไม่พ้น พรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อไทย
ที่มีภาพชัดเจน โดยเฉพาะ การใช้ ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัว กลุ่มม็อบสามนิ้ว รวมถึง หากมีหลักฐานว่า ให้ทุนสนับสนุน การจัดตั้งเวที เครื่องไฟ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ในชั่วโมงนี สำหรับ ความร้อนแรงของ การเมืองไทย!!