“แพทองธาร” โชว์วิสัยทัศน์ ประธานที่ปรึกษาเพื่อไทย เขย่าการเมืองไทยระทึก

ภาพ “ทักษิณ-โอ๊ค” นั่งมอง “อุ๊งอิ๊ง” หรือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ด้วยรอยยิ้ม ระหว่างโชว์วิสัยทัศน์ ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย คือ ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สำคัญอย่างยิ่ง

ถือว่าการปรากฏกายในสมรภูมิการเมืองของ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หมดวาระ นับเป็นก้าวย่างสำคัญในฐานะสายตรงตระกูลชินวัตร ที่เตรียมเข้าสานต่อภารกิจนารีขี่ม้าขาวภาคสองให้พรรคเพื่อไทย

“พรรคเพื่อไทย” หงายไพ่ใบสำคัญในงานประชุมใหญ่พรรคที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นั่นคือการเปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เข้ามาทำหน้าที่ชิมลางตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทยประเด็นที่ต้องจับตาคือการกระโดดเข้ามาในสนามการเมืองของ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ครั้งนี้อาจเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การได้รับเสนอชื่อเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 เพื่อสานต่อตำนาน “นารีขี่ม้าขาวภาค 2” หลังจากช่วงปี 2554 นายทักษิณ ใช้เวลา 49 วันปลุกปั้นให้น้องสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย

แม้ น.ส.แพทองธาร แบ่งรับแบ่งสู่เรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยโยนให้เป็นเรื่องของอนาคต แต่หากจับสัญญาณความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ หรือ “โทนี่ วู้ดซัม”ที่ออกมาพูดในรายการ “Care Talk x Care” เกี่ยวกับ 7 คุณสมบัติผู้นำคนต่อไป พบมีหลายข้อที่ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร เข้าข่ายสเปกของชายที่ชื่อโทนี่

(1) มีหัวใจประชาธิปไตย รักประชาชน ถ้ามีหัวใจเป็นประชาธิปไตยจะเข้าใจประชาชน ไม่ใช่มองประชาชนเป็นพลทหาร เมื่อมีหัวใจเป็นประชาธิปไตยแล้ว ต้องมีรักประชาชนด้วย เพื่อจะได้เข้าใจประชาชนจริงๆ (2) ตามโลกให้ทัน รู้ว่าโลกเขาไปถึงไหนแล้ว เราจะปรับเปลี่ยนได้อย่างไร เพราะการเป็นผู้นำต้องเป็นเจ้าภาพในการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยการเข้าเกียร์เดินทางไม่ใช่เข้าเกียร์ถอยหลัง ถ้าเร่งเครื่องต้องเร่ง และต้องเท่าทันโลกในทุกมิติ(3) รู้จักกระจายอำนาจ ต้องรู้จักแบ่งงานให้คนมาช่วยกันทำ เราทำคนเดียวไม่ทันหรอกแต่เราต้องเป็นเจ้าภาพที่จะรู้ว่าอะไรไปถึงไหนแล้ว สิ่งไหนมีคนทำแล้ว สิ่งไหนไม่มีคนทำ เพราะมันต้องขับเคลื่อนประเทศไปพร้อมๆ กัน (4) โลกทัศน์กว้างไกล ต้องมองไปข้างหน้า ไม่มองย้อนหลัง ไม่หลงในอดีต ต้องมองไปข้างหน้า เราไม่ได้อยู่เพื่อเมื่อวาน แต่เราอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้และวันนี้ เมื่อวานเป็นสิ่งที่เราควรจะเข้าใจเพื่อเป็นบทเรียนจะได้ไม่ผิดพลาดเหมือนในอดีตแค่นั้นเอง

(5) เป็นคนเจน X เจน X เป็นวัยทำงานที่มีประสบการณ์เพียงพอ แต่จะมีปัญหาเรื่องของการทำความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี เรื่องโลกยุคใหม่ ซึ่งมันเรียนรู้ได้ แต่คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์มันต้องขยันจริงๆ ต้องตามเรื่องทุกเรื่องจริงๆ ถึงจะเอาอยู่ เพราะเราเกิดในยุคอนาล็อก แต่วันนี้มันโลกดิจิทัลแล้ว เลยควรที่จะให้คนรุ่นใหม่มาทำที่กว่า

(6) ต้องเข้าใจเศรษฐกิจ ต้องเข้าใจเศรษฐกิจ ถ้าไม่เข้าใจมันจะไม่คิดเรื่องหาเงิน รัฐบาลมีหน้าที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถทำมาหากินได้อย่างสุจริตและเสรีดังนั้น ต้องเอาเศรษฐกิจมาก่อน อันดับสองคือเรื่องสาธารณสุข อันดับสามคือความเข้าใจในประชาธิปไตย แต่เอาจริงๆ แล้วประชาธิปไตยไม่ได้มาอันดับสามหรอก แต่ประชาธิปไตยเป็นฝาแฝดที่มาพร้อมกับเศรษฐกิจ ถ้าคนที่มาทำเศรษฐกิจไม่มีหัวใจประชาธิปไตย ก็จะกลายเป็นเศรษฐกิจอะไรก็ไม่รู้

(7) มีทักษะภาษาอังกฤษ วันนี้ภาษาอังกฤษแทบเป็นภาษาสากล ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็พูดภาษาอังกฤษ ผมแม้ภาษาไม่เป๊ะก็ตาม ผมเชื่อว่าประยุทธ์น่าจะเป็นนายกฯ คนสุดท้ายที่พูดอังกฤษไม่ได้ เพราะว่านายกฯ ต่อไปจะอายุน้อยและก็จะพูดอังกฤษได้หมดแล้ว

สำหรับ ประวัติ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร เกิดวันที่ 21 ส.ค. พ.ศ. 2529 อายุ 35 ปีเต็ม สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2551 และศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ สาขาวิชา Msc International Hotel Management ที่ Surrey University ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และไม่เคยมีคดีความถึงขั้นถูกคำพิพากษาให้จำคุก

หากมองในแง่กฎหมาย อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร มีคุณสมบัติครบสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ที่กำหนดให้รัฐมนตรีต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี, สําเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า, มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่เป็นผู้ต้องคําพิพากษาให้จําคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด

การปรากฏกายในสมรภูมิการเมืองของ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร สายตรงตระกูลชินวัตร ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หมดวาระ นับเป็นก้าวย่างสำคัญในมิติการเมือง ที่ทุกฝ่ายต่างจับตามองด้วยความ ลุ้นระทึกใจอย่างยิ่ง