ไม่เคยประมาท ! “อนุทิน” แจงยิบศึกซักฟอก ขอสังคม เข้าใจ “โควิด” เป็น “โรคอุบัติใหม่” ยันไม่มีทุจริตซื้อวัคซีน เบิกจ่ายตามจริง ไม่มี 17 เหรียญ
2 กันยายน 2564 ที่อาคารรัฐสภาเกียกกาย กรุงเทพฯ ในศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการบริหารจัดการเรื่องวัคซีนโควิด-19 ว่า
ขอชี้แจงในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ตามข้อกล่าวหาของผู้อภิปรายไว้ ดังนี้ จากการที่พรรคร่วมฝ่ายค้านกล่าวหาว่าตนประเมินความรุนแรงและผลกระทบของโควิด-19 ผิดพลาด ในความเป็นจริงนั้น กลับไป เมื่อช่วงสิ้นปี 2562 สธ.ทราบว่ามีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจระบาดขึ้นในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ตนในฐานะ รมว.สาธารณสุข ได้สั่งการให้กรมควบคุมโรคติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทันที หาข้อมูลกับเครือข่ายนานาชาติ ยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคทุกด่านเข้าออกระหว่างประเทศ และเมื่อวันที่ 13 ม.ค.62 พบผู้ติดเชื้อรายแรก เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน จากนั้น สธ.ยกระดับการคัดกรองและค้นหาผู้ติดเชื้อ จึงพบนักท่องเที่ยวจากจีนติดเชื้ออีกกว่า 30 ราย โดยเราค้นหาพบทุกราย รักษาจนหาย ไม่มีผู้เสียชีวิต และเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย ทั้งนี้ รัฐบาลจีนซาบซึ้งในไมตรีของประเทศไทย เป็นที่มาของการช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน
“ต้องเรียนให้เข้าใจตรงกันว่า โควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ขยายความรุนแรงระบาดทั่วโลก ไม่มีใครรู้จักมาก่อน การรับมือ เฝ้าระวังป้องกัน การรักษาโรค ต้องมีการปรับแนวทางต่อเนื่องตามอาการของผู้ป่วย ซึ่งต้องขอบคุณนักวิทยาศาสตร์ของไทย อาทิ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สามารถค้นพบรหัสพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรน่าตัวนี้ได้ตั้งแต่เริ่มมีการระบาด ทำให้เราสามารถตรวจหาผู้ป่วยที่ติดเชื้อนี้ได้อย่างรวดเร็ว คณะแพทย์ของ สธ. ร่วมมือกับคณะแพทยฯ โรงเรียนแพทย์ต่าง ๆ ได้ปรับแนวทางการรักษาโรคให้เหมาะสม จนพบว่า การรักษาผู้ป่วยด้วยยาต้านไวรัสที่ชื่อ “ฟาวิพิราเวีย์” ทำให้อาการป่วยทุเลาลงจนหายเป็นปกติได้ หากผู้ป่วยไม่มีโรคประจำตัวอื่นๆ และใช้เวลาในการรักษาไม่นาน”
ถึงแม้จะมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศ แต่เกือบทุกคน หายป่วย กลับบ้านได้ ถึงแม้ว่าจะมีผู้ป่วยที่เสียชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนในกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรสาธารณสุขทุกคนเสียใจอย่างยิ่ง แต่อัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตของไทยยังต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของทั่วโลก และเราได้เตรียมพร้อมในด้านการแพทย์และเวชภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา
นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยปราศจากการติดเชื้อในช่วงหลังของปี 2563 ที่เราประคองกันมาเกือบครึ่งปี จนมาพบการระบาดรอบที่ 2 ในปลายเดือนธ.ค.63 สาเหตุหลักจากการไม่เคารพกฎหมายของบางกลุ่มคน การลักลอบเข้าประเทศของแรงงานต่างด้าว มีการสัญจรไปมาหาสู่กัน เป็นคลัสเตอร์แรงงานต่างด้าวเกิดขึ้นใน จ.สมุทรสาคร และปริมณฑลรอบ ๆ กรุงเทพมหานคร แต่ด้วยการเตรียมพร้อมที่ดีของ สธ.ตั้งแต่การระบาดครั้งแรก เราได้สำรองยา อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ และเวชภัณฑ์ต่างๆ ด้วยความพร้อม ไม่มีการขาดตลาดหรือการกักตุนสินค้าเช่นหน้ากากอนามัยอีกต่อไป สธ.จึงควบคุมการระบาดรอบ 2 ได้ด้วยมาตรการแยกกักในโรงาน(Factory Isolation) แต่เมื่อพบการระบาดรอบ 3 ตั้งแต่เดือน เม.ย.64 จนถึงวันนี้ ตนยอมรับว่ามีความรุนแรงในทุกมิติ สาเหตุหลักยังคงเริ่มมาจากการลักลอบเข้าเมือง การไม่เคารพกฎหมาย การขาดความระมัดระวัง ย่อหย่อนมาตรการการป้องกันตนเอง มีการไปงานเลี้ยงสังสรรค์ ไปสถานบันเทิงและภัตตาคารเหมือนกับภาวะปกติ มีการลักลอบเล่นการพนันทั้งในประเทศและข้ามไปเล่นที่ประเทศเพื่อนบ้าน นำเชื้อกลับมาติดคนใกล้ชิดจนเป็น Super Spreader ขยายวงมายังสถานที่ต่างๆ ติดเชื้อในโรงงาน ครัวเรือน จนการติดเชื้อเพิ่มเป็นหลักหมื่นในปัจจุบัน
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค ที่นำกฎหมายของหลายกระทรวงไปบูรณาการรวมกันที่ ศบค. สธ.เป็นหน่วยงานปฏิบัติหลักที่ดำเนินการตามนโยบายและข้อสั่งการของ ศบค. ซึ่งภาระที่หนักสุด คือ การจัดเตรียมสถานพยาบาลให้มีความพร้อม การมียา มีเวชภัณฑ์ให้เพียงพอ และการป้องกันควบคุมโรคให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น หาก สธ. ไม่มีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า คงไม่สามารถที่จะให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยในหลักหมื่นได้ ด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ ทำให้อัตราส่วนผู้เสียชีวิตยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลก
“เรามีผู้ป่วยติดเชื้อเกินหนึ่งล้านราย แต่เป็นจำนวนสะสมตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน แต่เราก็มีผู้หายป่วยมากกว่า 9 แสนราย อัตราการเสียชีวิตยังต่ำกว่า 1% และส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวอื่นๆ ที่เป็นความเสี่ยง ขอกราบเรียนพี่น้องประชาชน ว่า ผม ท่านนายก และบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน รู้สึกเสียใจ ผมถือโอกาสนี้กราบขออภัยต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต ขออภัยอย่างยิ่งที่ไม่อาจรักษาชีวิตผู้ป่วยเหล่านั้นไว้ได้” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า พื้นที่การระบาดสูงสุด คือ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สำหรับ กทม.นั้น มีการบริหารราชการเป็นเอกเทศ กทม. ไม่มีระบบการสาธารณสุขที่กระจายลงไปจนถึงชุมชนเหมือนกับต่างจังหวัดที่มีตั้งแต่ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สาธารณสุขอำเภอ อสม โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลอำเภอ ลงไปจนถึงสถานีอนามัยที่ตอนนี้เราเรียกชื่อใหม่ว่า รพ.สต. ดังนั้น เมื่อมีการระบาดใหญ่ใน กทม. จึงเกินกำลังที่โครงสร้างระบบการสาธารณสุขของ กทม. จะรองรับได้ แต่ สธ.ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ตนได้ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขดำเนินสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุขทุกรูปแบบกับ กทม. จึงเป็นที่มาของการตั้งศูนย์แรกรับผู้ป่วยติดเชื้อ ที่อาคารนิมิบุตร เพื่อคลายคอขวดของผู้ป่วยที่รอเตียง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของการทำแยกกักที่บ้าน(Home Isolation) และศูนย์พักคอยในชุมชน(Community Isolation) ขึ้นทะเบียนผู้ป่วยและดูแลรักษาภายใต้ระบบประกันสุขภาพ หากอาการเปลี่ยนแปลงก็มีการเตรียมการส่งต่อไป รพ.
นอกจากนั้น ตนได้ให้มีการจัดตั้ง ร.พ.บุษราคัม รองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง ที่มีอาการปานกลาง กว่า 4 พันเตียง มีความพร้อม เช่น ห้องแยกกัก เครื่องให้ออกซิเจน จนถึงห้องไอซียู ช่วยลดภาระของ รพ. ต่างๆ ใน กทม. มีการระดมทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และบุคลากรด่านหน้าจากทั่วประเทศมารักษาพยาบาลผู้ป่วยด้วยมาตรฐานสากล ช่วยให้ผู้ป่วยใน กทม.และจังหวัดใกล้เคียงได้เข้าถึงเตียงและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ลดจำนวนการเสียชีวิตนอกสถานพยาบาลได้เป็นจำนวนมาก
“ร.พ.บุษราคัม ตอนนี้เหลือผู้ป่วยราวพันเตียง จึงเปรียบเป็นเทอร์โมมิเตอร์ หากล้นแสดงว่าสถานการณ์ไม่ดี แต่ถ้ามีเตียงว่าง แสดงว่ามีการรองรับผู้ป่วยได้ระดับหนึ่ง และทราบมาว่า ร.พ. ร.พ.สนาม ใน กทม. มีเตียงเพิ่มขึ้น ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี”
นายอนุทิน กล่าวว่า จากที่กล่าวข้างต้นจะเห็นชัดว่า ตนไม่เคยอยู่นิ่งเฉย มีการวางแผนงานและการสั่งการออกมาตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความพร้อมต่อสถานการณ์ แต่ สธ.เราไม่ต้องใช้คำว่าสั่งการ เพียงขอให้บอก ก็พร้อมทำเพื่อสุขภาพประชาชน “ทำทันที ไม่มีรำมวย” ทั้งที่ อำนาจ บางอย่างก็ถูกตัดทอนไปให้ ศบค. แต่ก็ต้องทำ โดย ได้รับการสนับสนุนจากท่านนายกฯ และครม.
นายอนุทิน กล่าวว่า ตนได้ผลักดันให้มีการบรรจุลูกจ้างสาธารณสุขด่านหน้า ให้ได้เป็นข้าราชการกว่า 4 หมื่น ตำแหน่ง เพื่อความมั่นคงในชีวิต ได้อยู่รับราชการเพื่อดูแลผู้ป่วยให้ดี นอกจากนั้น ยังเพิ่มค่าตอบแทนเสี่ยงภัยให้ อสม. อีกเดือนละ 500 บาทจนกว่าสถานการณ์ระบาดจะกลับสู่สภาวะปกติ ซึ่งท่านนายกฯ ได้ให้ความเห็นชอบและสนับสนุนอย่างเต็มที่ เช่น เพิ่มค่าเสี่ยงภัยแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ด่านหน้า การเร่งและสนับสนุนให้มีการผลิตยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย ไม่ถึงพึ่งพาการนำเข้า โดยปัจจุบันผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแต่เราไม่มีปัญหาการขาดแคลนปัจจัยเหล่านี้
“เมื่อมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่ดึงยาได้ 10 เข็มต่อ 1 ขวด ปริมาณใช้ 0.5 ซีซีต่อ 1 ครั้งการฉีด แต่เมื่อให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจสอบพบว่า การบรรจุขวดมา 6.5 ซีซี จะได้ 12 เข็ม ได้เดินขอคุณพยาบาล และเภสัชกรให้พวกเขาช่วยดึงวัคซีนแอสตร้าฯ ให้ได้ 12 เข็มต่อขวดแทน โดยบุคลากรของไทย ทำได้ มีคนก่นด่าว่า ทำไม่ถูกต้อง ไปกดดันเจ้าหน้าที่ ลงโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมายว่าตั้งใจลดคุณภาพการฉีดวัคซีน แต่ในที่สุด แม้แต่องค์การอนามัยโลกก็ยังมีการยืนยันว่าพึงกระทำได้ ถ้าไม่มีการผสมข้ามขวด จนเดี๋ยวนี้ไปที่โรงพยาบาลไหน คุณพยาบาลก็มักจะโชว์ผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและภาคภูมิใจว่าพวกเขาทำได้ 12 เข็มจริงๆ โดยเราสามารถฉีดวัคซีนให้พี่น้องประชาชนได้เพิ่มอีกกว่า 5 ล้านคน”
นายอนุทิน กล่าวว่า ตนสั่งการให้เพิ่มประสิทธิภาพระบบกู้ภัยของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน(สพฉ) ให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว และในฐานะประธานสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) จึงได้เห็นชอบอนุมัติร่วมกับคณะกรรมการฯ จัดสรรงบประมาณเพื่อให้คลอบคลุมค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ทุกรูปแบบของการรักษาไม่ว่าจะรักษาที่บ้านหรือสถานพยาบาลทั้งของรัฐและของเอกชน การเร่งรัดให้ อย. ขึ้นทะเบียนยาและเวชภัณฑ์ทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ให้รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การสนับสนุนให้คงงบประมาณสำหรับการตรวจแบบ RT-PCR เพื่อการยืนยันเชื้อที่แม่นยำ ตลอดจนการเร่งรัดให้มีการอนุญาตให้ระบบการสาธารณสุขของไทย ยอมรับการตรวจหาเชื้อที่ใช้อุปกรณ์แบบแอนติเจน เทสต์ คิท(ATK) และอนุมัติงบประมาณเพื่อให้รัฐทำการจัดหาให้ประชาชน เพื่อความสะดวกในการตรวจเชื้อด้วยตนเอง เพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาต่อไป
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ในฐานะที่ตนเป็นรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ กระทรวงคมนาคม จึงประสานงานกับรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงทั้ง 2 ท่าน เพื่อขอให้ท่านได้สนับสนุนภารกิจของ สธ. โดยยกอาคารกีฬานิมิบุตรมาทำเป็นศูนย์แรกรับ ขณะเดียวกัน สธ.สนับสนุนวัคซีนให้กระทรวงท่องเที่ยว นำไปใช้สำหรับเปิด “ภูเก็ตและสมุยแซนด์บ๊อกซ์” ที่เปรียบเหมือนห้องรับแขกของประเทศ และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ได้มีนโยบายให้ รฟท. อนุญาตให้ใช้สถานีกลางบางซื่อมาจัดตั้งเป็น ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เพื่อแบ่งเบาภาระการฉีดวัคซีนของ กทม. ปัจจุบันฉีดแล้วว่า 1.3 ล้านราย นอกจากนี้ท่านยังได้สนับสนุนพาหนะนำผู้ป่วยกลับไปรักษายังภูมิลำเนาทั่วประเทศ อีกนับแสนราย ช่วยลดความแออัดของ รพ.ในกทม. ทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบการรักษาได้มากขึ้น
“สิ่งที่ผมได้กล่าวมานี้ หากเกิดขึ้นโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้า จะเกิดขึ้นไม่ได้ มันเกิดขึ้นได้จากการเข้าใจถึงปัญหาแล้วนำมาหารือร่วมกันในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะบุคลากรสาธารณสุข หาแนวทางปฏิบัติ ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และทำการจัดตั้งและดำเนินการให้เป็นผล ทุกอย่างต้องมาจากความตั้งใจและใส่ใจในสุขภาพที่ดีของพี่น้องประชาชน ผมมั่นใจว่า ไม่ได้มีความเพิกเฉย หรือ ปล่อยปละละเลยต่อภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของผมตามข้อกล่าวหาของพรรคฝ่ายค้าน” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าสิ่งที่ดำเนินการไปทั้งหมดเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมได้ก็เพราะท่านนายกฯ มีความเข้าใจและให้การสนับสนุน โดยนโยบายและข้อสั่งการที่ตนออกทั้งหมดได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีจากเพื่อนข้าราชการของกระทรวงสาธารณสุข เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า การที่ตนได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้ารัฐบาลและจากฝ่ายข้าราชการประจำ ย่อมต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มีความเหมาะสม มีความจำเป็นอันควรแก่เหตุ ซึ่งจะต้องผ่านการวางแผนที่รอบคอบ มีการประเมินสถานการณ์ด้วยความตระหนักรู้ ไม่ผิดมาตรฐานทางจริยธรรม ไม่ได้ทุจริตต่อหน้าที่ ไม่ได้ขาดความรู้และภูมิปัญญา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ปรากฏในญัตติข้อกล่าวหาว่า ตนขาดความรู้และภูมิปัญญา
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตนปฏิบัติในสิ่งที่ตนเองเข้าใจเป็นอย่างดีและมอบหมายให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในแต่ละด้านได้ช่วยกันทำงานให้บังเกิดผลสำเร็จ จึงถือได้ว่าไม่ได้เป็นการคุยโม้โอ้อวดตนเอง ไม่มีการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือการใช้กฎหมายใดๆ ในทางมิชอบและเกินขอบข่ายอำนาจที่ตนเองมีอยู่ ไม่ได้บริหารงานผิดพลาดจนทำความล้มเหลวให้กับระบบการสาธารณสุขของประเทศ ไม่เคยแม้กระทั่งจะคิดที่จะมุ่งกอบโกยผลประโยชน์ใดๆ ท่ามกลางความเดือดร้อนของประชาชนตามข้อกล่าวหาที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้จงใจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน
“ผมเชื่อว่า ประชาชนจะเข้าใจในการโต้แย้งข้อกล่าวหาเหล่านี้และอยากขอความกรุณาว่าหยุดเอาโควิด-19 มาเล่นการเมือง พี่น้องประชาชนเดือดร้อนกันอยู่ มาร่วมกันช่วยแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนก่อน ไม่ใช่ไปซ้ำเติมพวกเขา พวกเราต้องชนะโควิด-19 ก่อน ระบบเศรษฐกิจถึงจะรุดหน้าเติบโตต่อไปได้ บ้านเมืองก็จะได้สงบสุขและมีความก้าวหน้า พวกเราเป็นผู้แทนราษฏร มีหน้าที่หลักเหมือนกันทุกคน คือ สร้างประโยชน์สุขให้ประชาชนทุกวัน ทุกเวลา” นายอนุทิน กล่าว
ตั้งแต่เริ่มการระบาดของโควิด-19กระทรวงสาธารณสุข ได้เริ่มเตรียมการวางแผนงานเรื่องวัคซีนทันที มอบให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ติดต่อกับทั้งสถาบันวิจัยวัคซีนหลายแห่งทั้งในและต่างประเทศ หาวิธีร่วมพัฒนาวัคซีน และติดต่อบริษัทผู้ผลิตวัคซีนทุกแหล่ง เพื่อหาวิธีการไปร่วมพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีและจัดซื้อจัดหามาให้ประชาชนหากทำได้ โดยคำนึงถึงการพึ่งพาตนเอง รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้ไปร่วมสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนและก็ได้ให้การสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมแก่ คณะแพทยศาสตร์และคณะเภสัชกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กำลังดำเนินการพัฒนาวัคซีนชนิด mRNA และ แบบ Protien sub unit base ที่ใช้ใบยาสูบมาระยะหนึ่งแล้ว การทดลองมีความก้าวหน้ามาโดยลำดับและเชื่อว่าจะประสบผลสำเร็จนำมาใช้ได้ในไม่ช้า
นอกเหนือจากนี้ นายอนุทิน กล่าวว่า สธ.มีหน้าที่ที่จะต้องจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพที่ดี มีมาตรฐานการผลิตระดับโลก มีประสิทธิผลในการลดการติดต่อ ป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต และที่สำคัญที่สุด จะต้องมีความปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชน และหลักการนี้ก็ยังดำรงอยู่อย่างมั่นคงตราบจนปัจจุบันนี้ พี่น้องประชาชนและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิดตามหลักการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้กำหนดไว้ภายในสิ้นปี2564 นี้โดยถ้วนหน้า ทั้งนี้ สธ. ได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนหลักๆ ของโลกตั้งแต่กลางปี2563 ขณะนั้น ผู้ผลิตวัคซีนยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาวัคซีน หากอยากได้วัคซีนเร็ว จะต้องเสี่ยงในการพัฒนาร่วมกัน แต่หากไม่สำเร็จก็ถือเป็นความผิดพลาดทางการลงทุน สำหรับรัฐบาลไทย เงื่อนไขเช่นนี้ไม่ปรากฏอยู่ในระเบียบหรือข้อกำหนดภายใต้ พรบ.การจัดซื้อจัดจ้าง ทำไม่ได้ จะใช้ข้อยกเว้นเพื่อซื้อยาฉุกเฉินตาม พรบ.โรคติดต่อแห่งชาติ ก็ไม่ได้ เพราะต้องมีของให้ซื้อ ดังนั้น ไม่ใช่เสี่ยงจองในวัคซีนที่ยังผลิตไม่สำเร็จ
“แต่พวกเราได้ก็มั่นใจจากข้อมูลทางวิชาการต่างๆ ว่า อย่างไรเสียเรื่องวัคซีนจะต้องมีทางเลือกที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอน และในที่สุด ด้วยความร่วมมือจากหลายฝ่าย มีอาจารย์แพทย์ แนะนำว่า ควรให้ความสนใจกับวัคซีนแอสตร้าฯ ที่ทางเอสซีจีกรุ๊ป ได้หารือมาระดับหนึ่ง หาก สธ.ร่วมตัดสินใจ เขาอาจมาใช้ฐานการผลิตในไทย โดยเขามาจริงๆ และคัดเลือกให้บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ให้เป็นผู้ผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีของประเทศ หลังจากบรรลุข้อตกลง รัฐบาลไทยจึงลงนามในสัญญาจัดซื้อแอสตร้าฯ 61 ล้านโดส” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ในสัญญาระบุว่าจะเริ่มทำการส่งตั้งแต่เดือนมิ.ย.64 เป็นต้นไป และส่งล็อตแรกก่อนกำหนดหนึ่งสัปดาห์ในเดือน พ.ค. นอกจากนั้น ทางผู้บริหารของแอสตร้าฯ ได้ตอบจดหมายท่านนายกฯ ว่า แอสตร้าฯ วางเป้าจะส่งวัคซีนทั้ง 61 ล้านโดสให้กับไทยภายในสิ้นปี 2564 นี้ ซึ่งเกิดจากการที่ท่านนายกฯ พยายามเจรจาทุกวิธีให้เร่งรัดการส่งวัคซีนที่เราสั่งทั้งหมดให้ได้ในสิ้นปีนี้ จึงไม่เกี่ยวกับข้อเสนอที่จะสั่งซื้อในปีหน้า เพราะโควิด-19 ยังไม่หมด เราต้องบูสเตอร์โดส(Booster Dose) ซึ่งแอสตร้าฯ กำลังผลิตอยู่ ดังนั้น ตราบใดที่เราใช้วัคซีนที่มีฐานผลิตในประเทศ เรามีความอุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง โดยเป็นความชัดเจนว่า ผู้นำสูงสุดในการบริหารประเทศได้ใส่ใจและช่วยกันร้องขอให้มีการจัดส่งวัคซีนให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด ไม่ได้ละเลยเพิกเฉย ล่าช้าหรือขาดความจริงใจตามที่ถูกกล่าวหา
นายอนุทิน กล่าวว่า วัคซีนอีกตัวที่ได้นำมาฉีดให้คนในประเทศคือ วัคซีนซิโนแวค เป็นวัคซีนที่ผลิตในประเทศจีนซึ่งมีวัคซีนหลักๆ อยู่ 2 แบรนด์ คือ ซิโนแวคและซิโนฟาร์ม เป็นวัคซีนแบบใช้เชื้อตายทั้งคู่ และมีใช้ในประเทศไทย เราก็ได้ทำการเจรจากับทั้ง 2 รายตั้งแต่ยังคงอยู่ในระยะทดลอง โดยเขาแจ้งให้เรารับทราบว่า กำลังจะได้รับการจดทะเบียนในประเทศของเขาต้นปี 2564 โดยระหว่างนั้น มีการระบาดช่วงสิ้นปี 2563 เราจึงเร่งติดต่อที่แอสตร้าฯ แต่เขายืนยันว่าไม่สามารถส่งได้ ส่วนวัคซีนซิโนแวค บอกว่าส่งได้เดือนก.พ.64 เราก็พยายามควบคุมการระบาดให้ได้ กระทั่ง วัคซีนจีนถูกนำมาใช้ในไทยเดือนมี.ค.64 เพื่อฉีดให้บุคลากรสาธารณสุข แต่ปรากฏว่าเดือนเม.ย. มีการระบาดขึ้น แต่แอสตร้าฯ เราต้องรอเดือน มิ.ย. ระหว่าง 2 เดือนดังกล่าว เราจึงสั่งซิโนแวคเพิ่มต่อเนื่อง ประคองสถานการณ์ โดย สธ.ได้แจ้งกับคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ คณะอนุกรรมการการใช้วัคซีน อนุกรรมการด้านความปลอดภัยของวัคซีน คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เมื่อทั้งหมดให้คามเห็นชอบใช้วัคซีนซิโนแวค และแอสตร้าฯ เราก็เร่งจัดหามาให้ประชาชนทันที ไม่มีล่าช้า
“ในช่วงต้นปีจนถึงเดือน มิ.ย. วัคซีนซิโนแวคก็เป็นพระเอก สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีต่อสายพันธุ์อัลฟ่าที่คุกคามประเทศไทยก่อนที่จะมีการกลายพันธุ์เป็นเดลต้า แต่เมื่อกลายพันธุ์แล้วประสิทธิผลของการสร้างภูมิคุ้มกันแม้ลดลงแต่ผู้ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ก็ไม่มีอาการป่วยหนักและโอกาสเสียชีวิตน้อยมากหากไม่มีโรคอื่นร่วม” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า หลังจากเดือนเม.ย. มีสายพันธุ์เดลต้า ที่มาจากผู้ลักลอบเข้าประเทศ เชื้อเดลต้านี้มีความดุร้ายทั้งการแพร่เชื้อและทำให้เกิดอาการรุนแรงได้เร็วมากกว่าเชื้ออัลฟ่า จึงเกิดสูตรวัคซีนไขว้ซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า ขึ้นมา จากการศึกษาวิจัยจากอาจารย์หมอ เพื่อให้ได้สูตรวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันที่สูงกว่า ในระเวลาที่รวดเร็วขึ้น นอกจากนั้น การจัดหาวัคซีนหลากหลายชนิด ก็ได้เดินหน้าตลอด อาทิ การจัดหาไฟเซอร์ มาให้บริการแก่เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งวันนี้ เราบรรลุสัญญาจัดหาแล้ว หากรวมวัคซีน ที่เราบรรลุสัญญาทั้งหมด เราจะมีวัคซีนกว่า 100 ล้านโดส ทั้งนี้ ได้ประกาศชัดเจนว่า เราจะฉีดให้ทุกคน ทุกสัญชาติในประเทศ ที่เข้าเกณฑ์การให้บริการอย่างปลอดภัย อันเป็นไปตามหลักขององค์การอนามัยโลก ว่า “No one is safe until everyone is safe” ตีความง่ายๆ คือ หากจะให้ประชาชนทุกคนในประเทศไทยมีความปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด-19 เราก็ต้องฉีดวัคซีนให้กับทุกคนในประเทศนี้ โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติใดๆ เป็นหลักสากลที่บัญญัติไว้โดยองค์การอนามัยโลก
นายอนุทิน กล่าวว่า การจัดทำสัญญาวัคซีนทุกฉบับจะต้องผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด ผ่านความเห็นของ ครม. สำหรับวัคซีนแอสตร้าฯ ไฟเซอร์ เขาให้ทำสัญญาที่มีหลายขั้นตอน ส่วนที่ถามถึงสัญญาซิโนแวค ในส่วนนี้ผู้ผลิตไม่ได้ขอสัญญา แต่ขอเป็นใบคำสั่งซื้อ ที่มีข้อกำหนดความรับผิดชอบ เงื่อนไขราคา ส่วนเรื่องค่าปรับที่ไม่มีเพราะว่าตลาดยังเป็นของผู้ขาย แต่รัฐบาลก็ต้องซื้อเพราะต้องเร่งคุมการระบาด และชีวิตประชาชนอยู่เหนือกว่าสิ่งใด แต่อย่างน้อยก็อยู่ในราคาที่ไม่ได้สูงกว่าประเทศอื่น ตามที่มีการระบุถึงการตั้งราคา 17 เหรียญฯ ต่อโดส ก็ยืนยันอีกครั้งว่าเราเบิกมาตามราคาซื้อจริง อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ประเทศไทยไม่ได้ขี่ม้าตัวเดียว แต่จะมีครบทุกตระกูล mRNA ไวรัลเวกเตอร์ วัคซีนชนิดเชื้อตาย โปรตีนซับยูนิต มีครบทุกแพลตฟอร์มหลัก ไม่ใช่ม้าตัวเดียวตามที่หลายฝ่ายกล่าวหา ดังนั้น ขอความกรุณาอย่าได้พูดว่า รัฐบาลแทงม้าตัวเดียว เพราะเป็นการสร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชน
“ขอให้มั่นใจว่า ไม่มีทางที่ผู้ซื้อหรือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจจะสามารถเรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ จากผู้ขายได้ ผู้ขายระบุไว้ชัดเจนว่าจะขายให้กับหน่วยงานภาครัฐเทานั้น จึงขอยืนยันว่าไม่มีการเรียกร้องหรือได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากเรื่องการจัดซื้อจัดหาวัคซีนอย่างแน่นอน สิ่งที่ผม คุณหมอ ท่านปลัดสธ. อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้รับมาจากการสั่งซื้อวัคซีนในแต่ละครั้ง คือ ความปลื้มใจ ความดีใจที่จะได้เห็นพี่น้องประชาชนได้รับวัคซีนมากขึ้นและมีความหวังว่าสถานการณ์ระบาดจะดีขึ้น เป็นประโยชน์ทางใจให้ทุกคน”
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า วัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่ฉีดให้ครบปริมาณ วัคซีนทุกยี่ห้อก็มีผลข้างเคียงและมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นทั้งนั้น และยังติดเชื้อกันได้ แต่มีความสามารถป้องกันไม่ให้เจ็บหนักและเสียชีวิต มีหลักฐานอย่างชัดเจนในหลายกรณีที่เมื่อมีการติดเชื้อ พบว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนจะปลอดภัยมากกว่าผู้ที่ไม่มีวัคซีนหลายเท่าตัว เป็นเหตุผลที่ ตนวิงวอนอย่าด้อยค่าวัคซีน ให้ประชาชนกลัว เพราะวัคซีนที่ไทยใช้ทุกตัวดีทั้งหมด และย้ำว่าวัคซีนที่ดีที่สุดคือ การได้ฉีดเร็วควบคู่การป้องกันโรคก็จะลดการติดเชื้อ เราจึงขอให้ประชาชนมารับวัคซีนถ้วนหน้า อย่ากลัววัคซีน และเราพร้อมให้การดูแลหากมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ประเทศไทยของเรามีวัคซีนที่พร้อมและสามารถคิดค้นสูตรการฉีดไขว้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดและเป็นไปตามแผนที่กำหนด วัคซีนทุกตัวทำงานของมันอยู่แล้ว
เราคิดไปถึงการฉีดเข็มที่ 3 หรือบูสเตอร์โดสกันแล้ว ปีหน้าทางผู้ผลิตจะทำบูสเตอร์โดสที่จะขายให้ไทย เราได้จองซื้อไว้แล้ว อาทิ วัคซีน แอสตร้าฯ เพื่อนำมาบูสเตอร์ ขณะที่สถาบันวัคซีนได้ออกจดหมายจองไฟเซอร์ อีกหลายสิบล้านโดส และ ขอให้ประชาชนร่วมส่งกำลังใจให้คณะเภสัชกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กำลังพัฒนาวัคซีนชนิดโปรตีนซับยูนิต ที่หากสำเร็จก็จะสามารถผลิตได้ปีละหลายสิบ ล้านโดสเช่นกัน
“ผมขอยืนยันว่าบุคลากรทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข ทุกสถาบันการแพทย์ ทุกคนทำงานจนสะกดคำว่าเหนื่อยและท้อไม่เป็น พวกเราทุกคนต้องการเอาชนะโควิด-19 ขอให้พวกเราทุกคนร่วมมือกันต่อสู้ เราก็ผ่านพ้นวิกฤตการณ์เช่นนี้ไปได้ “