นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข บอกคนโจมตี “ฟาวิพิราเวียร์” ใช้ข้อมูลเพียงบางส่วน ย้ำ คณะกรรมการ MIU เห็นควรใช้ต่อไปได้ ชี้ สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากกรณีที่มีการเผยแพร่บทความวิจารณ์ประสิทธิภาพของยาฟาวิพิราเวียร์ ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ว่าเป็นยามาตรฐานต่ำ จนสร้างความสับสนให้กับประชาชน โดย ล่าสุดเมื่อ 21 ส.ค. 2564 นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข และ ประธานคณะกรรมการ MIU (Ministry of Public Health – Intelligence Unit) กระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า ความจริง…ยาฟาวิพิราเวียร์ จาก MIU กระทรวงสาธารณสุข “ยังคงสนับสนุนให้มีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ต่อไป ยามีประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 โดยขอให้เน้นการให้ยาที่เร็วขึ้น”
ตามที่ศูนย์บริหารจัดการภาวะฉุกเฉินฯ กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมาย คณะกรรมการ MIU (Ministry of Public Health – Intelligence Unit) ศึกษาทบทวนด้านวิชาการ ข้อมูลยาฟาวิพิราเวียร์ โดยมีการนำข้อมูลเพียงบางส่วน เรื่องยาฟาวิพิราเวียร์ เช่น สไลด์การนำเสนอซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากที่ประชุม คณะกรรมการ MIU และ นำมาเผยแพร่ โดนนำสไลด์มามาตีความและนำเสนอนั้น ผู้เผยแพร่มิได้นำข้อมูลที่ประชุมทั้งหมด และข้อสรุปการประชุม มาเผยแพร่ แต่เป็นการนำเสนอเพียงบางส่วน ได้สร้างความเข้าใจผิด ก่อให้เกิดความสับสน ต่อสังคมและประชาชน และผู้เผยแพร่ เป็นบุคคลภายนอก มิใช่คณะกรรมการ MIU
ความจริง เรื่องดังกล่าวคือ ที่ประชุม MIU มีการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 16 ส.ค. 64 และได้เสนอบทสรุปในที่ประชุม ศูนย์บริหารจัดการภาวะฉุกเฉิน EOC กระทรวงสาธารณสุข เช้า วันพุธ 18 สิงหาคม 64 เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบาย Flavipiravir ดังนี้ MIU ยังคงสนับสนุนให้มีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ต่อไป โดยขอให้เน้นการให้ยาที่เร็วขึ้น พบว่า ยามีประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ตั้งแต่เริ่มมีอาการภายใน 4 วัน ช่วยลดอาการรุนแรงได้ร้อยละ 30 สอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศ
ขอให้มีการ ประเมินประสิทธิผล ข้อพึงระวัง ศึกษาเพิ่มเติม ภายในประเทศ โดยมติที่ประชุม มอบกรมการแพทย์และผู้เกี่ยวข้องดำเนินการ และยัง ขอให้พิจารณาเรื่องแนวทางเวชปฏิบัติ CPG ทั้งการ ให้ยา Flavipiravir เร็วขึ้น และยาตัวอื่น ที่มีประโยชน์ เช่น ยาพ่น ชนิดที่มี Steroids และยาอื่นๆ โดยมอบ กรมการแพทย์ และผู้เกี่ยวข้องดำเนินการ
นอกจากนี้ ในที่ประชุมคณะกรรมการ MIU กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประกอบด้วย ที่ปรึกษาและคณะกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสาขา โดย นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ ผู้รับผิดชอบโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ได้นำเสนอวาระ ข้อเสนอเชิงนโยบายยาฟาวิพิราเวียร์ และอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ให้ข้อเสนอแนะ และ สรุป ตามที่ได้เสนอต่อกระทรวงสาธารณสุข เช่น HITAP ได้ทบทวนจากการศึกษาในต่างประเทศ บางรายงานพบว่ายาฟาวิพิราเวียร์ มีประสิทธิผลในการรักษาโควิด และบางรายงานไม่มีประสิทธิผล ซึ่งประสิทธิผลในการรักษาต้องพิจารณาจากหลายประเด็น เช่น ความรุนแรงของผู้ป่วยโควิด สถานที่การศึกษา เช่น ในหอผู้ป่วยนอก หอผู้ป่วยใน ขนาดและปริมาณยาที่ใช้รักษาที่แตกต่างกัน เป็นต้น และส่วนใหญ่การศึกษาเป็นการเปรียบเทียบกับยาอื่นๆ ที่ใช้รักษาในแต่ละประเทศ
ข้อมูลการศึกษาที่มีผลเหมือนกันคือ ยาฟาวิพิราเวียร์ มีประสิทธิผลในการลดอาการทางคลินิกใน 7 วัน และ 14 วัน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ใช้ยา ซึ่งสนับสนุนแนวทางการรักษาของไทยที่ปรับปรุงล่าสุด ฉบับที่ 17 ที่เริ่มให้ยาเร็วที่สุดตั้งแต่เริ่มมีอาการ การศึกษาจากหลายสถาบันของไทยในการระบาดระลอกแรกปี 2563 พบว่า หากได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ภายใน 4 วันตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะลดความรุนแรงได้ร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลังมีอาการ 4 วัน การศึกษาผู้ป่วยเบื้องต้นในประเทศไทย พบว่ากลุ่มที่มีอาการปอดบวมรุนแรงอาการจะดีขึ้นเฉลี่ยภายใน 14 วันส่วนกลุ่มที่ปอดบวมไม่รุนแรงจะดีขึ้นใน 9 วัน การให้ยาเร็ว เข่น การให้ที่จุดรับผู้ป่วย มีประโยชน์ในการลดความรุนแรงของโรค
ขณะเดียวกัน ยังมีข้อเสนอเชิงนโยบาย ของ MIU ต่อกระทรวงสาธารณสุข ให้มีการบริหารจัดการและการสำรองยา ให้เพียงพอ ต่อการระบาด ของโรคโควิด 19 จึงเป็นที่มาการจัดหา และสำรองยาที่ปรากฏในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขได้บริหารจัดการสถานการณ์โควิด 19 รวมถึงการใช้สำรองยาฟาวิพิราเวียร์ ด้วยความถูกต้องเหมาะสม รอบคอบ ภายใต้ข้อแนะนำด้านยุทธศาสตร์และวิชาการ จาก คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีอยู่หลายคณะ และได้มีการบริหารจัดการ ผ่านความเห็นชอบ จาก ศูนย์บริหารจัดการสถานการณ์โควิด 19