“สุพิศาล” อ่านยุทธวิธี ตำรวจ คฝ. ใช้บ้านประยุทธ์ปฏิบัติการ ดึงมวลชนเข้าจุดสังหาร

อดีตผู้การกองปราบ ชี้ รัฐปฏิบัติการอย่างเป็นยุทธศาสตร์-ดึงมวลชนเข้าจุดสังหาร ข้องใจใช้ ตร.ควบคุมฝูงชน ฝึกปราบปรามเฉพาะ เมื่อม็อบบุกบ้าน นายกรัฐมนตรี 

วันที่ 14 ส.ค.2564 พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และอดีตผู้บังคับการกองปราบ กล่าวถึงการสลายการชุมนุมของตำรวจโดยยืนยันว่า การชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะย่อมทำได้ เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ประกาศใช้เพื่อควบคุมภัยทางการระบาดของโควิค-19 มิใช่การมาจัดการกับผู้เรียกร้องที่เห็นว่าการแก้ไขปัญหาโควิค-19 บกพร่องจนมีคนตาย แต่การจัดกำลัง ซึ่งควรจะเป็นไปเพื่อดูแลป้องกันเหตุ กลับเป็นการปราบปราม และการกระทำที่เกินกว่าสัดส่วนของอำนาจรัฐที่ควรกระทำในการควบคุมเหตุ

“ภาพที่เห็น 3-4 ครั้งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่มีปฏิบัติการอย่างเป็นยุทธศาสตร์ คือปล่อยให้มวลชนเข้าพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ อาจเรียกว่าพื้นที่สังหารหรือกับดัก มีจุดสูงข่ม ชัยภูมิที่เป็นต่อทุกครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีชัยชนะทุกครั้ง เมื่อมวลชนเข้ามาในพื้นที่ตรงนี้ ม็อบเคลื่อนมาก็ทำได้เพียงตะโกนบอกว่า ต้องการอะไร แม้จะปาข้าวของ อาจพยายามขยับเคลื่อนคอนเทนเนอร์ เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของกิจกรรม ก็จะเกิดการลงมือจากฝ่ายรัฐในการระดมยิง มีปะทะ เกิดความระบาดทางอารมณ์ของผู้ชุมนุมบางส่วน หรืออาจจะเป็นผู้แทรกซึม จนไปเผาทำลายข้าวของสาธารณะ ซึ่งก็น่าสนใจว่ามีคนใส่หมวกที่สื่อมวลชนจับภาพได้เข้ามาผสมโรง ซึ่งไม่รู้แน่ว่าเป็นใคร แต่วิ่งเข้าหลังกองกำลังของรัฐ ภาพยังปรากฏในสื่อออนไลน์ชัดเจนการเผาและปะทะกันอย่างรุนแรงของสองฝ่าย อย่างนี้ก็ยิ่งเข้าทางให้ตำรวจ คฝ.แต่จริงๆ คือ กองกำลังปราบจลาจลปฏิบัติการหนักขึ้น”

พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวและว่า มีข้อสังเกตถึงการชุมนุมที่ผ่านมาว่า คฝ.นั้นเป็นกองกำลังของรัฐ ที่มีหน้าที่ป้องกันเหตุ มีอาวุธเพียงแค่โล่กับกระบอง ควรต้องนิ่ง อดทนต่อการยั่วยุและการปะทะ ซึ่งที่ผ่านมาจะใช้ คฝ.โรงพักที่ได้เกณฑ์มาจากทั่วกรุงเทพฯ และทั่วประเทศมาช่วยดูแลพี่น้องผู้ชุมนุม แต่พอรอบนี้ พอม็อบประกาศจะไปบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชุดที่เอามาใช้กลับเป็น อคฝ. (กก.ปจ.เดิม) ในสังกัด บชน.ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติการปราบปราม เหมือนทหาร พวกนี้ไม่เคยรู้จักประชาชน ดังนั้น เมื่อมาถึงก็ติดอาวุธเหมือนกับท้าตีท้าชกกับประชาชนเลย ไม่อดทน ไม่นิ่งเฉย แถมยังจะสนุกอย่างที่มีสื่อเก็บเสียงได้

“พวกเขาชวนทะเลาะและไล่ล่า ภาพที่นั่งท้ายรถกระบะแล้วไล่ยิงประชาชนนั้น รุนแรงมาก ผมอยากถามว่า ทำไมที่ผ่านมา ใช้แต่ คฝ.ของโรงพัก แต่พอจะบุกบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ กลับใช้อีกชุดที่มีหน้าที่คนละแบบ ชุดนี้ไม่เคยเห็นเอาไปปกป้องสถานที่ราชการหรือสถานที่สำคัญอะไรเลย กลับเอามาปกป้องบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว หมายความว่าอะไร พล.อ.ประยุทธ์ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ เพราะมีทหารเป็นกองพล ดูแลอยู่แล้ว และการใช้ชุดนี้ปฏิบัติการ จะเป็นการผลักดันทำให้เกิดความวุ่นวาย และข้ามเส้นไปสู่การยกระดับให้เป็นสถานการณ์ร้ายแรงใช่หรือไม่”

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ประกาศใช้อยู่ผ่านมาเป็นปีแล้วนั้น ออกมาเพื่อควบคุมการระบาดของโรค ไม่ได้ประกาศเพื่อควบคุมม็อบ แต่ทว่าก็ซ่อนเร้นไว้ ไม่ให้ม็อบออกมาด้วยข้ออ้างต่างๆ อย่างถามว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นกระตุ้นให้เข้ากับ มาตรา 11 ที่ให้นายกฯ โดยความเห็นชอบของ ครม. มีอำนาจประกาศให้สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นสถานการณ์ที่มีความร้ายแรงใช่หรือไม่ และก็ใช้มาตรา 12 จับบุคคลกุมบุคคลได้ไม่เกิน 7 วันใช่หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่านี่ไม่ใช่การก่อการร้าย แต่นี่เป็นการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพื่อเรียกร้องจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล ดังนั้น การใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มันผิดฝาผิดตัว อ้างป้องกันการแพร่ระบาด แต่ดันมีความทับซ้อนมาที่เรื่องความเดือนร้อนของประชาชน เริ่มที่การสาธารณสุข แต่เอามาใช้ครอบเป็นหลังคาใหญ่คลุมไปหมด ดังนั้น อยากให้ประชาชน สื่อมวลชนช่วยกันจับตา ระวังรัฐจะยกระดับให้เข้ากับองค์ประกอบนี้