“ศักดิ์สยาม” ถก!! กบร. นำเทคโนโลยี พัฒนาการบิน เดินหน้า”ภูเก็ตแซนบอกซ์”

รมว.คมนาคม เป็นประธานประชุม กบร. สอบทานมาตรการด้านการบินเตรียมรับการเปิดประเทศ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” พร้อมให้เร่งศึกษาการนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาการจัดการสนามบินภายในประเทศ

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะประธานกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) เป็นประธานประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน ครั้งที่6/2564 เตรียมพร้อมรองรับการเปิดประเทศ นำร่องจังหวัดภูเก็ตในเดือนกรกฎาคมเป็นที่แรก (ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์) โดยหากสำเร็จจะขยายไปอีก 9 จังหวัด และ เตรียมพร้อมเปิดประเทศในอีก 120 วัน ตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าอุตสาหกรรมการบินของไทยจะฟื้นฟู และมีจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศในเดือนธันวาคม 2564 ราว 1,400,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2564 ประมาณ 10 เท่า โดยให้นโยบายเร่งศึกษาการนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาการจัดการสนามบินภายในประเทศ และให้กระทรวงคมนาคม เชิญหน่วยงานที่ดูแลสนามบิน ร่วมหารือ เพื่อพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลผู้โดยสาร และการให้บริการที่รวดเร็วขึ้น ลดการสัมผัส และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เดินทางจากทั่วโลก

สำหรับ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม จากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ เข้ามาพักอาศัยโดยไม่ต้องกักตัว อยู่ในจังหวัดภูเก็ตอย่างน้อย 14 วัน และสามารถไปเที่ยวพื้นที่อื่นต่อได้ โดยหวังว่าจะช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีคาดว่าจะสามารถเริ่มได้ตามแผนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ หากสำเร็จจะขยายเป้าหมายไปในอีก 9 จังหวัด และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรียังได้ประกาศเป้าหมายการเปิดประเทศไทยทั้งประเทศภายใน 120 วัน ดังนั้น เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายการฟื้นฟูการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศและเพื่อให้เกิดการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินของไทยซึ่งเป็นการคมนาคมหลักที่จะนำนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศ ที่ประชุม กบร. จึงมีมติกำหนดนโยบายที่สำคัญ ดังนี้

1. ศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารเที่ยวบินระหว่างประเทศ

สั่งการให้จัดสรรเวลาการบิน (Slot) อย่างเหมาะสม โดยขณะนี้มีเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศอยู่ในกำหนดการบินประจำฤดูร้อน 2564 คือ 1 กรกฎาคม – 30 ตุลาคม 2654 และในกำหนดการบินประจำฤดูหนาว 2564/2565 31 ตุลาคม 2564 – 26 มีนาคม 2565 เรียบร้อยแล้ว
เบื้องต้นสำหรับสนามบินภูเก็ตในกำหนดการบินประจำฤดูร้อน 2564 มีเที่ยวบินจัดสรรแล้วราว 134 เที่ยวบินต่อวัน จากขีดความสามารถในการรองรับ 480 เที่ยวบินต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 28 โดยคาดว่าจะขออนุญาตเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มเปิดประเทศ สำหรับในกำหนดการบินประจำฤดูหนาว 2564/2565 มีจำนวนเที่ยวบินที่จัดสรรไปยังสนามบินภูเก็ตแล้วประมาณ 320 เที่ยวบินต่อวัน จากขีดความสามารถในการรองรับ 360 เที่ยวบินต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 89 ทั้งนี้ เที่ยวบินระหว่างประเทศที่ได้รับการจัดสรรขณะนี้ส่วนใหญ่มาจากประเทศแถบเอเชีย-แปซิฟิกและยุโรป (ข้อมูล Slot ณ วันที่ 11 มิ.ย. 2564 ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง)

สำหรับในเดือนกรกฎาคม คาดว่าจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งประเทศ จะเพิ่มจาก 5,698 เที่ยวบิน (พ.ค. 2564) เป็น 13,354 เที่ยวบิน ส่วนจำนวนผู้โดยสารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 79,226 คน (พ.ค. 2564) เป็น 146,448 คน และคาดว่าในเดือนธันวาคม 2564 ประเทศไทยจะมีผู้โดยสารเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 1,469,805 คน หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่า จากในเดือนกรกฎาคม 2564 กบร. จึงได้เน้นย้ำให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ตรวจสอบความพร้อมด้านการบินให้ครอบคลุมทุกมิติก่อนเปิดประเทศ เพื่อเตรียมการให้เป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่ผ่านมาจำนวนเที่ยวบินอยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน

ทั้งนี้ เป้าหมายการฟื้นฟูระยะยาวของอุตสาหกรรมการบินไทย สถิติเดิมของผู้โดยสารระหว่างประเทศในช่วงปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด-19 มีจำนวนราว 89 ล้านคน แต่ในปี 2563 ลดลงเหลือเพียงราว 16 ล้านคน ลดลงร้อยละ 81.7 ซึ่งหากการเปิดประเทศเป็นไปตามเป้าหมายและอุตสาหกรรมการบินมีการฟื้นตัว ในระยะยาวคาดว่าไทยจะกลับมามีผู้โดยสารระหว่างประเทศในจำนวนที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์การระบาดได้ ก่อนปี 2568

2. การเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยของสนามบิน สายการบิน เครื่องบินและนักบิน

ตามปกติแล้ว CAAT มีแผนในการตรวจสอบด้านความปลอดภัยตามวงรอบในทุกประเภท ของผู้ให้บริการอย่างต่อเนื่อง แต่เพื่อการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ รองรับการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งตามแนวทางที่ กบร. ได้ให้ไว้ CAAT จึงมีทั้งวิธีการออกตรวจแบบเดิม (Onsite audit) และปรับวิธีการตรวจเป็นแบบระยะไกล (Remote audit) เพื่อให้เหมาะสมตามสถานการณ์การระบาดของโควิด-19

ในส่วนของสนามบิน โดยกรมท่าอากาศยาน บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การท่าอากาศยานอู่ตะเภาและบริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ต้องส่งรายการตรวจสอบและหลักฐานการดำเนินงานของสนามบินภายในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อประเมินความพร้อมด้านมาตรฐานความปลอดภัยก่อนเปิดให้บริการ ซึ่งเป็นรายงานฉบับปรับปรุงโดยเฉพาะเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 โดย CAAT จะตรวจสอบรายงาน และหลักฐานที่ส่งมาให้ หากพบประเด็นความไม่พร้อมจากสนามบินนั้น ๆ สนามบินจะต้องเร่งแก้ไขก่อนที่จะสามารถเริ่มกลับมาให้บริการระหว่างประเทศได้อย่างเต็มรูปแบบ

ด้านสายการบินของไทย และเครื่องบิน ต้องได้รับการตรวจสอบการปฏิบัติงานในฐานะผู้ได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ ตรวจสอบแผนการบำรุงรักษาและสภาพเครื่องบิน ซึ่งที่ผ่านมา CAAT ตรวจตามแผนและวงรอบที่กำหนดอย่างต่อเนื่องทั้งวิธีการตรวจแบบ Onsite และ Remote แต่เพื่อทดสอบความพร้อมเป็นกรณีพิเศษ สายการบินจะต้องได้รับการตรวจสอบการปฏิบัติงานตามแบบฟอร์มที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับสถานการณ์โควิด-19 และในส่วนของเครื่องบินหากจอดเป็นระยะเวลานาน ต้องตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้พร้อมนำกลับมาให้บริการผู้โดยสารอย่างปลอดภัย เช่น เครื่องบินของการบินไทยจะต้องได้รับการตรวจสอบก่อนนำกลับไปให้บริการระหว่างประเทศในเดือนกรกฎาคมนี้เป็นสายการบินแรก ส่วนเครื่องบินของสายการบินอื่น ๆ หากมีความพร้อมสามารถขอเข้ารับการตรวจได้เช่นกัน สำหรับนักบินและพนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ แม้เที่ยวบินระหว่างประเทศจะลดลง แต่ที่ผ่านมาได้กำหนดให้ปฏิบัติงานในห้องจำลองอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาชั่วโมง และเตรียมพร้อมการกลับมาปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ

3. การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคของผู้โดยสารและบุคลากรทางการบิน

ได้จัดให้บุคลากรด้านการบินที่ปฏิบัติหน้าที่ในด่านหน้า ฉีดวัคซีนเข็มแรกเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2564 ส่วนบุคลากรในอุตสาหกรรมการบินโดยรวม ขณะนี้ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วประมาณ 48,351 คน (13 มิ.ย. 2564) และกำลังทยอยเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 2 อย่างต่อเนื่อง ในการกลับมาเปิดให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ ผู้ให้บริการต้องปฏิบัติตามกรอบการดำเนินงานระหว่างสถานการณ์โควิด-19 ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) Guidance for Air Travel through the COVID-19 Public Health Crisis และคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งกำหนดไว้เป็นมาตรฐานสากลรวมถึงต้องปฏิบัติตามประกาศของ CAAT ที่ปรับปรุงเป็นระยะให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเคร่งครัด และประกาศ แต่ละจังหวัด เพื่อให้สามารถป้องกันโรคอย่างรัดกุม ถูกต้อง และส่งเสริมให้บรรลุตามเป้าหมายที่ประเทศไทยได้วางไว้

4. เร่งศึกษาแนวทางการนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาการจัดการสนามบินภายในประเทศ

กบร. ได้ให้นโยบายเร่งศึกษาการนำเทคโนโลยีการจัดการระบบข้อมูลผู้โดยสาร และบริการมาใช้สำหรับสนามบินภายในประเทศ และให้กระทรวงคมนาคมเชิญหน่วยงานที่ดูแลสนามบินร่วมหารือเดินหน้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารจากทั่วโลกที่คาดว่าจะเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศภายในสิ้นปีนี้ และมีการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเทคโนโลยีที่พิจารณาให้นำมาใช้ มีดังนี้

1. ระบบรายงานข้อมูลผู้โดยสารล่วงหน้าสำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ (Domestic API) สายการบินจะสามารถส่งรายงานข้อมูลส่วนบุคคลแบบอิเล็กทรอนิกส์ของผู้โดยสารภายในประเทศให้กับสนามบินต้นทาง ปลายทาง และสนามบินที่มีเที่ยวบินแวะผ่าน (Transit/Transfer) เพื่อใช้สำหรับการเช็คอินขึ้นเครื่องบิน (Check-in) ได้ทำให้ขยายขีดความสามารถการเชื่อมโยง และติดตามข้อมูลของผู้โดยสารภายในประเทศ และระหว่างประเทศ รวมถึงเตรียมรองรับการใช้งานหนังสือเดินทางสุขภาพ (Health Passport) ในอนาคต

2. ระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง CUPPS (Common Use Passenger Processing System) หรือระบบเช็คอินด้วยตนเองอัตโนมัติ ผู้โดยสารจะสามารถเช็คอินด้วยตนเองโดยกรอก Booking Number จากนั้นระบบจะพิมพ์บัตรโดยสารและป้ายติดสัมภาระ (Baggage Tag) โดยอัตโนมัติ รวมถึงมีระบบพิสูจน์อัตลักษณ์ที่แม่นยำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการผู้โดยสารในสนามบินภายในประเทศให้เป็นมาตรฐานทัดเทียมสนามบินนานาชาติ และช่วยลดจำนวนเจ้าหน้าที่ ลดขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารลดการสัมผัส และลดความแออัดภายในสนามบิน เพื่อรองรับการเดินทางทางอากาศในรูปแบบใหม่ในอนาคต ปัจจุบันสนามบินนานาชาติของประเทศไทย มีการใช้งานทั้ง 2 ระบบอยู่แล้ว

.