“สนธิ ” ลั่น “ผมรังเกียจอิสราเอล” ชี้ เปรี้ยง “ดอน”เบื้องหลังปลดป้ายหนุนปาเลสไตน์ 

สนธิ ลิ้มทองกุล ไลฟ์สด รายการ SONDHI TALK ลั่น “ผมรังเกียจอิสราเอล” ชี้ เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด รุกราน”ปาเลสไตน์” อย่างน่ารังเกียจ ชี้ พร้อมระบุ รมว.ต่างประเทศ อยู่เบื้องหลัง การปลดป้าย “FREE PALESTINE” 

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้ง นสพ.ผู้จัดการ กล่าวในรายการ SONDHI TALK เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า “ผมรังเกียจอิสราเอลมาก” พร้อมกล่าวหา “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รมว.ต่างประเทศ เป็นขี้ข้าสหรัฐฯ อยู่เบื้องเจ้าหน้าที่ สั่งรื้อป้ายบิลบอร์ด ที่ชาวมุสลิมไทยแสดงจุดยืนยันสนับสนุนปาเลสไตน์
โดยป้ายโฆษณาดังกล่าวมองเห็นได้ชัดเจนบนทางด่วนช่วงจะลงไปยังถนนสาธุประดิษฐ์ กรุงเทพฯ มีพื้นหลังเป็นธงชาติประเทศ “ปาเลสไตน์” พร้อมข้อความภาษาอังกฤษว่า “FREE PALESTINE” ได้ถูกเช่าโดยชาวมุสลิมไทยกลุ่มหนึ่ง เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุน และ แสดงความเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองดินแดนโดยอิสราเอล หลังช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างอิสราเอลที่เสริมกำลังปฏิบัติการโจมตีในเขตกาซา ขณะที่นักรบปาเลสไตน์ก็ระดมยิงจรวดเข้าใส่อิสราเอล ซึ่งนับเป็นการสู้รบครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปี

แม้ที่ผ่านมา มุสลิมไทยมีกิจกรรมแสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์มาโดยตลอดตามวาระต่างๆ ทั้งการเดินขบวน จัดการเสวนา สัมมนา แต่ก็ยังไม่เคยปรากฏว่ามีการทุ่มซื้อป้ายโฆษณาขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน จึงอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกและเป็นพัฒนาการใหม่ของมุสลิมไทยในการแสดงความเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์อย่างไรก็ตาม เมื่อเดอะพับลิกโพสต์และสื่ออื่นๆ นำเสนอข่าวการติดป้ายมุสลิมไทยทุ่มซื้อป้ายโฆษณากลางกรุง แสดงจุดยืนหนุน “ปาเลสไตน์” ปรากฏว่า เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นป้ายดังกล่าวก็ถูกปลดลง โดยมีกระแสข่าวว่าถูกกดันจากเจ้าที่ จึงทำให้อุณหภูมิความไม่พอใจร้อนฉ่าขึ้นในสังคมมุสลิม โดยเฉพาะในโลกโซเชียล พร้อมกับมีความพยายามสืบหาว่า ใครคือเงามืดผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งปลดป้าย

ในไลฟ์สดรายการ “SONDHI TALK” นายสนธิ ลิ้มทองกุล เริ่มต้นด้วยการนำเสนอข้อมูลการยึดครองปาเลสไตน์ที่อิสราเอลดำเนินการเขมือบดินแดนนี้มาตั้งแต่ปี 1946 จนเหลือพื้นที่ให้ชาวปาเลสไตน์เจ้าของเดิมเพียงน้อยนิดเมื่อสิ้นสุดปี 2010 และอิสราเอลก็ยังคงพยายามดำเนินการเช่นนั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ภายใต้การสนับสนุนของชาติตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษและสหรัฐฯ

“การขยายตัวของชาวยิวในปาเลสไตน์นั้นได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังของอิสราเอล ขับไล่ชาวปาเลสไตน์ ยิง ฆ่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกอย่าง โดยการสนับสนุนจากชาติตะวันตก” … “อังกฤษ อเมริกา ตัวดีเลย ที่สนับสนุนชาวอิสราเอล รุกข้ามเขตแดนต่างๆ ที่ชาวปาเลสไตน์อยู่อาศัย และมีการตกลงกันแล้วระดับหนึ่งในสหประชาชาติว่าตรงนี้เป็นส่วนของชาวปาเลสไตน์ ตรงนี้เป็นส่วนของชาวอิสราเอล แต่ (อิสราเอล) ไม่ยอม จะยึดให้หมดเลย ก็เลยเกิดสงคราม” นายสนธิกล่าวในรายการ

ปาเลสไตน์คือสัญลักษณ์ของชาวมุสลิมทั่วโลก ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ชี้ให้เห็นว่า ประเด็นปัญหาปาเลสไตน์นั้นเป็นวาระสำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของชาวมุสลิมทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะแค่ตะวันออกกลาง “ทุกคนสนับสนุนให้ชาวปาเลสไตน์ต่อสู้กับอิสราเอล” นายสนธิกล่าวและย้ำว่า “เพราะฉะนั้นผู้ชมต้องเข้าใจว่า เรื่องที่ผมพูดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเป็นเรืองจิตใจของคนที่มีความเชื่อ”….“ชาวมุสลิมทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ต่างให้กำลังใจชาวปาเลสไตน์ เพราะชาวมุสลิมในปาเลสไตน์ถูกชาวยิวรังแก โดยได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก คืออเมริกาและอังกฤษ”นายสนธิได้นำภาพตัวอย่างการสนับสนุนของชาวมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมที่มีต่อปาเลสไตน์ เช่น ในการประชุมสภาที่ประเทศไอร์แลนด์ มีส.ส.อย่างน้อย 4 คน ที่ได้สวมแมสก์ลายธงปาเลสไตน์พร้อมข้อความ FREE PALESTINE เพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชาวปาเลสไตน์ ที่ถูกยึดครองบ้านเรือน รวมทั้งนักฟุตบอลชาวมุสลิมในทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ที่เดินโบกธงปาเลสไตน์กลางสนามในระหว่างการฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูการล่าสุด 2020-2021 และนักเตะมุสลิม 2 คนในทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่เดินโบกธงในสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดระหว่างการเตะกับทีมฟูลแล่มในช่วงที่มีการสู้รบอย่างหนักระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รวมทั้งการออกมาชุมนุมของชาวมุสลิมทั่วโลกเพื่อแสดงการสนับปาเลสไตน์ ทั้งใน กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น, เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย, กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้, กรุงจาการ์ต้า อินโดนีเซีย, กรุงปารีส ประเทศฝรังเศส, เมืองฮัมเบิร์กและเมืองเบอร์ลิน เยอรมนี, กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และนิวยอร์ก สหรัฐฯ เป็นต้น

“ทำไมผมต้องเอารูปพวกนี้แต่ละประเทศมาให้ผู้ชมดู ผมต้องการแสดงให้ท่านผู้ชมเห็นว่าเรื่องของชาวปาเลสไตน์นั้นเป็นเรื่องของชนชาวมุสลิมทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะที่ปาเลสไตน์หรืออิสราเอล” ….“เรียกได้ว่าว่าชาวมุสลิมทั่วโลกรณรงค์เพื่อชาวปาเลสไตน์ ด้วยแคมเปญ FREE PALESTINE หรือปลดปล่อยปาเลสไตน์นั้นมันเป็นเรื่องปกติ” นายสนธิกล่าวและเน้นย้ำว่า “เป็นสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออกที่สามารถกระทำได้”

เจ้าหน้าที่ไทยสั่งปลดป้ายทำไม? “แต่ในประเทศไทยกลับไม่ได้เป็นอย่างนี้” นายสนธิระบุ โดยการนำกรณีต่างประเทศดังกล่าวมาเทียบเคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อเจ้าหน้าที่สั่งปลดป้ายสนับสนุนปาเลสไตน์ซึ่งผิดแผกไปจากประเทศอื่นๆ โดยนายสนธิเล่าว่า “เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 กลุ่มชาวมุสลิมในประเทศไทยกลุ่มหนึ่ง ที่เดิมจัดกิจกรรมแสดงจุดยืนสนับสนุนปาเสไตน์มาโดยตลอดตามวาระต่างๆ ทั้งการเดินขบวน สัมมนา เสวนา ได้รวบรวมเงินก้อนหนึ่งไปเช่าป้ายโฆษณาเพื่อแสดงออกเรื่องนี้ เป็นป้ายขนาดใหญ่ติดธงชาติปาเลสไตน์ พร้อมข้อความภาษษอังกฤษว่า FREE PALESTINE เหมือนทุกประเทศในโลกที่เขาประท้วงกัน ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนบนทางด่วนช่วงจะลงไปยังถนนสาธุประดิษฐ์ กรุงเทพฯ โดยมุมบนขวาเขียนว่า เรารักปาเลสไตน์ แต่ที่สุดก็ถูกสั่งปลดภายในเวลาอันรวดเร็ว”

“ผมเป็นชาวพุทธ ท่านผู้ชม ผมเข้าใจว่าท่านผู้ชมหลายท่านไม่ชอบปาเลสไตน์ ไม่ชอบชาวอิสลาม ไม่ชอบมุสลิม แต่ผมคิดว่าชาวมุสลิมเป็นคนน่าสงสารน่าเห็นใจ เราต้องแยกให้ถูก ระหว่างชาวมุสลิมที่เป็นผู้ก่อการร้ายกับชาวมุสลิมที่รักสันติ ทุกประเทศมีคนดีมีคนเลว ทุกศาสนาก็มีคนดีและคนเลว ทุกความเชื่อก็มีทั้งคนดีคนเลว แต่คำสอนของศาสดาทุกศาสนา ไมว่าจะเป็นพระนบีมูฮัมหมัด พระพุทธเจ้า พระเยซู ล้วนแล้วแต่สอนให้คนทำดีกันทั้งสิ้น”

“เพราะฉะนั้นแล้วสำหรับผม ผมรังเกียจการรังแกคนที่อ่อนแอ และผมรังเกียจอิสราเอลมาก เพราะได้รับการหนุนหลังจากอเมริกาและอังกฤษในการยึดครองพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์” นายสนธิกล่าวชัดเจนในรายการและว่า “ท่านผู้ชมครับ เขาอยู่กันมาเป็นพันๆ ปีแล้ว ถ้าท่านผู้ชมมีจิตใจที่รักความเป็นธรรม ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่าชาวปาเลสไตน์โดนรังแกมาโดยตลอด ตั้งแต่ 75 ปีที่แล้วมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ถูกรุกรานโดยอิสราเอล”

“อิสราเอลมีประชากรประมาณ 11 ล้านคน อมริกาส่งเงินช่วยทางการทหารปีละประมาณแสนล้านบาทมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว จนอิสราเอลสามารถจะพัฒนาอาวุธที่ทันสมัยได้ และส่งขายไปทั่วโลก” …“อิสราเอลคือประเทศกระหายเลือด กระหายสงคราม ผมต้องพูดเช่นนี้ ผมรู้หลายๆ ท่านไม่ชอบปาเลสไตน์ ชอบอิสราเอลมากกว่า เพราะผมสังเกตจากคอมเมนต์ต่างๆ เขียนชมอิสราเอล ท่านผู้ชมครับ คนที่คิดอย่างนั้น ผมอยากถามว่า จิตใจท่านทำด้วยอะไร??”

“อิสราเอล คือฆาตกรมือเปื้อนเลือด แย่งชิงที่อยู่อาศัยของเขา ทำร้าย พ่อแม่ พี่น้อง ลูกๆ ของเขา ในนามของการยึดครองพื้นที่ให้เป็นที่ตั้งของอิสราเอลให้มากขึ้นกว่าเดิม” ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการกล่าวในการไลฟ์ครั้งนี้ …“อิสราเอลละเมิดสิทธิมนุษยชนมาตลอดเวลา และคนที่อยู่เบื้องหลังก็คืออเมริกา ซึ่งอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนเพื่อรุกรานประเทศที่ตนเองต้องการจะรุกราน แต่กลับหนุนอิสราเอลให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่หยุดไม่หย่อน”

ใครอยู่เบื้องหลังสั่งปลดป้าย?
นายสนธิระบุว่า ทางรายการได้ติดต่อสอบถามไปยังผู้เช่าป้ายโฆษณาซึ่งได้รับคำตอบว่า พวกเขาได้รับไอเดียจากมุสลิมในสหราชอาณาจักรและบางประเทศในยุโรป ซึ่งเป็นการแสดงออกตามสิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ แต่ก็มาถูกกดดันให้ปลดออกในเวลาต่อมา….“ป้ายดังกล่าวที่อยู่บริเวณทางด่วนช่วงทางลงถนนสาธุประดิษฐ์ ติดอยู่ได้ไม่กี่วัน กลับมีเจ้าหน้าที่รัฐไปกดดันให้เอาป้ายลง โดยอ้างว่า เกรงว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิสราเอล โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกองบังคับการตำรวจสันติบาลได้โทรศัพท์ติดต่อกับผู้เช่าให้เอาป้ายลง แต่ถูกปฏิเสธ”

“ผมเรียนถามเจ้าหน้าที่ ถ้าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเป็นรองผู้บัญชาการการตำรวจสันติบาล ก็เป็นไปได้ว่าผู้บัญชาการการตำรวจสันติบาลต้องรับรู้เรื่องนี้หรือถูกสั่งงานมา ถ้ากองบัญชาการตำรวจสันติบาลถูกสั่งงานมาก็แสดงว่า พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก็ต้องรู้เรื่องนี้เช่นกัน และถ้าผบ.ตร. รู้เรื่องนี้ ก็แสดงว่า ต้องมีคนที่ใหญ่กว่าผบ.ตร. แจ้งมา”

“ก็หนีไม่พ้นอยู่ 2 คน คนแรกก็คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) แต่พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงไม่ได้รู้เรื่องนี้ หรือ ก็ไม่ได้สนใจ คนที่น่าจะไปบอกพล.อ.ประยุทธ์ ว่า เดี๋ยวเราจะขัดแย้งกับอิสราเอลน่ะ ถ้าปล่อยให้ป้ายนี้อยู่ต่อ น่าจะเป็น นายดอน ปรมัตถ์วินัย (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) เพราะว่านายดอน เป็นคนที่รับใช้สหรัฐอเมริกามาโดยตลอดทุกเรื่อง แล้ววันหลังผมจะนำเสนอข้อมูลบางอย่างให้เห็นว่านายดอนกำลังทำกิจกรรมอะไรหลายอย่างกับประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา และอาจจะทำให้ประเทศไทยเดือดร้อน” นายสนธิตั้งข้อสังเกต

นายสนธิเปิดเผยข้อมูลต่อว่า หลังจากเจ้าหน้าที่กดดัน แต่เจ้าของป้ายไม่ยอมเอาลง ก็มีการกดดันเพิ่มขึ้น โดยระบุว่าจะให้ฝ่ายโยธาธิการของสำนักงานเขตสั่งการให้เอาป้ายลงให้ได้ มิฉะนั้นจะดำเนินการตามกฎหมาย อ้างระเบียบพร้อมข่มขู่จะตรวจสอบป้ายในลักษณะอื่นๆ ทั้งหมดหากไม่ดำเนินการปลดป้ายลงมา

“วันเสาร์ ที่ 5 มิถุนายน เจ้าของป้ายก็ตัดสินปลดป้ายสนับสนุนปาเลสไตน์ลง เพราะเกรงจะได้รับผลกระทบจากคำขู่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็คือตำรวจนั่นเอง” …“ความกดดันของภาครัฐให้ปลดป้ายสนับสนุนปาเลสไตน์ ทั้งๆ ที่เป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างสันติวิธี เขาไม่ได่ทำอะไรผิดกฎหมาย เรืองแบบนี้ไม่เคยมีในโลก… ไม่เคยมี… กรณีแบบนี้ที่อื่นไม่เคยเกิดขึ้น!!” นายสนธิย้ำ

ชี้มุสลิมไม่พอใจ แนะฟังคำเตือนผู้นำมุสลิมชีอะห์ไทย …“ท่านผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลครับ, พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข, นายกฯ ประยุทธ์, คุณดอน ปรมัตถ์วินัยครับ ชาวมุสลิมในประเทศไทยไม่พอใจมากที่รัฐบาลร่วมกันใช้อำนาจปลดป้ายดังกล่าวลง” นายสนธิกล่าวและบอกว่า อีกทางหนึ่งชาวมุสลิมก็คงขอบคุณรัฐบาลที่ทำให้พวกเขาสามัคคีกัน “ขอบพระคุณมากที่ทำเช่นนั้น เพราะในที่สุดแล้วนิกายซุนนีกับนิกายชีอะห์ที่ไม่ถูกกันมานานแสนนานวันนี้กลายเป็นเพื่อนกัน จับมือต่อต้านรัฐบาลไทย”

นอกจากนั้นนายสนธิยังได้นำปฏิกิริยาความไม่พอใจของ “ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี” นักการศาสนามุสลิมไทยผู้มีชื่อเสียง มาเตือนเจ้าหน้าที่ไทย …“ท่านซัยยิดสุไลมาน ฮูซันนี คือใคร? ท่านเป็นผู้นำมุสลิมชีอะห์ในประเทศไทย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแลกนักโทษระหว่างสายลับชาวออสเตรเลียกับนักโทษอิหร่านที่อยู่ในประเทศไทย และไทยก็ได้ประโยชน์เป็นเรื่องของการถอนฟ้องจากเหมืองทองอัครา” นายสนธิระบุพร้อมตั้งคำถามว่า “สหรัฐเคยมาช่วยไหม อิสราเอลเคยมาช่วยไหม แต่ท่านซัยยิดได้ฃ่วยทำให้เหมืองทองอัคราซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทคิงส์เกตถอนฟ้องประเทศไทยไป”

“ท่านซัยยิดไม่พอใจอย่างมาก ท่านให้ความเห็นผ่านทางโซเชียลมีเดียว่า เรื่องนี้รัฐบาลต้องมีคำตอบ หากจะแก้ตัวเรื่องการกดดันเอาป้ายปาเลสไตน์ลง เพื่อไม่ให้โลกอิสลามเข้าใจไทยผิด ก็คือต้องเอาป้ายไปขึ้นหน้าทำเนียบรัฐบาล 15วัน”

“ตอนนี้ท่านกำลังบอกว่า โลกอิสลามกำลังเข้าใจไทยผิดหมดแล้ว ว่าไทยคือสุนัขรับใช้ของประเทศอิสราเอล ซึ่งถ้ารัฐบาลไทยไม่ขอโทษเรื่องนี้ มุสลิมไทยก็จะร่วมมือกันติดป้ายปาเลสไตน์กันทุกมัสยิด ถ้ารัฐบาลต้องการจะปิด มุสลิมไทยจะเปิดเอง นี่คือข้อเสนอเพื่อหาทางออก” นายสนธิอ้างถึงการแสดงความเห็นของซัยยิดสุไลมานผ่านทางเฟสบุ๊กส่วนตัว https://www.facebook.com/saiyidsulaiman.husaini.142

ซึ่งในความเห็นดังกล่าวซัยยิดสุไลมานได้ระบุด้วยว่า “ถ้าประเทศอาหรับบางประเทศรู้ว่ารัฐบาลไทยมีส่วนในการกดดันปลดป้ายปาเลสไตน์ สินค้าส่งออกมีปัญหาแน่” พร้อมทั้งระบุว่า “แล้วอย่างมาขอร้องให้ผมช่วยอีกนะ” ซึ่งตรงนี้นายสนธิอธิบายว่า เหมือนกรณีเหมืองทองอัคราที่ซัยยิดสุไลมานได้ดำเนินการช่วยเหลือประสานงานกับทางการอิหร่านอิหร่านจนดีลแลกตัวนักโทษประสบผลสำเร็จและไทยได้ประโยชน์มหาศาลจากกรณีดังกล่าว

ซัยยิดสุไลมาน ฮูซันนี ผู้นำมุสลิมชีอะห์ในประเทศไทย …นายสนธิได้ทิ้งท้ายประเด็นการปลดป้ายแบบแรงๆ ว่า “ผมไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้บ้าคนไหน ผู้มีอำนาจคนไหนไปสั่งการให้มีการปลดป้าย FREE PALESTINE ปลดปล่อยปาเลสไตน์มันผิดตรงไหน เพื่อเอาใจฝรั่ง หรือถูกฝรั่งสั่งมา ชาวมุสลิมเขาถึงบอกว่า ยิว ซึ่งก็คือรัฐบาลอิสราเอล สั่งรัฐบาลไทยได้”

“ลองคิดในมุมกลับครับท่านผู้ชม การที่รัฐบาลไทยทำเช่นนี้ ยิ่งทำให้ชาวมุสลิมทั่วโลกอาจจะหันมารุมสกรัมไทยได้ เพราะเรื่องปาเลสไตน์เป็นฉันทมติ เป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิมทั่วโลก ป้ายที่ติดบนทางด่วนเป็นเพียงการแสดงความเห็นอกเห็นใจชาวปาเลสไตน์ เหมือนกับที่คนบางพวกแสดงความเห็นใจชาวพม่า ชาวโรอิงญา ชาวอุยกูร์ ชาวซีเรีย ซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร เป็นสิทธิในการแสดงออก แต่ที่แน่ๆ การรื้อป้ายดังกล่าวพี่น้องชาวมุสลิมไม่พอใจอย่างมาก อย่างที่ผมเรียนใหทราบว่า พี่น้องชาวมุสลิม 2 นิกายที่ระหองระแหงหันมานานกลายเป็นรวมตัวกันไปแล้ว อันนี้เรียกได้ไหมว่าเป็นการชักศึกเข้าบ้านโดยแท้” นายสนธิกล่าว