“สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์” จุฬาราชมนตรี ผู้ซึ่งเผชิญวิกฤติศรัทธารุนแรง ในพื้นที่จชต.

เหตุการณ์จังหวัดชายแดนใต้ ยุค “สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์” เป็นจุฬาราชมนตรี เกิดความรุนแรงหลายครั้ง โดยเฉพาะ”กรือเซะ-ตากใบ”สะท้อนภาพความขัดแย้ง กับ รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผนวกกับ เหตุการณ์ 9/11 กลุ่มก่อการร้าย จี้เครื่องบิน ชนตึกเวิล์ดเทรด และ เพนตากอน กลายเป็น ประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหาอย่างยิ่ง

“สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์” จุฬาราชมนตรี คนที่17 ของประเทศไทย นับเป็นยุคที่บ้านเมืองกำลังเบ่งบานด้านการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าในปี 2540 ประเทศไทยจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจบ้างก็ตาม แต่การพัฒนาประเทศก็เจริญรุ่งเรือง การสื่อสาร การศึกษาได้รับการพัฒนาและมีปัญญาชนมุสลิมเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางกระนั้นก็ตามยังมีปัญหาที่กระทบกับการทำงานในตำแหน่งหน้าที่จุฬราชมนตรีอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนับตั้งแต่ พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา สถานการณ์ในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้หลังจากที่มีปัญหายืดเยื้อกันนานกว่าครึ่งศตวรรษ ในอดีตมีทั้งที่รุนแรงและเบาบางแตกต่างกันไป ตามแต่นโยบายรัฐบาลในยุคนั้นๆสถานการณ์ชายแดนใต้ที่สงบนิ่งไปนานร่วมเกือบทศวรรษ กลับเริ่มปะทุอีกครั้งในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกิดเหตุความรุนแรงขึ้นหลายครั้ง และเกิดขึ้น อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความรุนแรงที่ กรือเซะ ขณะที่่ สถานการณ์โลก ความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับโลกอาหรับ กลุ่มชาติมุสลิมในตะวันออกกกลาง กรณี เหตุการณ์ 9/11/2001 เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด และกองบัญชาการทหาร ใน เพนตากอนการตอบโต้ของสหรัฐ กับกองกำลังกลุ่ม ของ “อุสซามะ บิน ลาเดน” ที่ หน่วยข่าวกรองสหรัฐ ระบุว่าเป็นกลุ่มที่ โจมตีสหรัฐ ในเหตุการณ์ 9/11 โดยใช้ฐานที่มั่นในประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งในยุคนั้นปกครองประเทศโดยรัฐบาลในตอลีบัน การตอบโต้ดังกล่าวเริ่มขึ้นโดยสหรัฐอเมริกาจัดการส่งกำลังไปบุกยึดประเทศอัฟกานิสถานในเวลาต่อมา

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สถานการณ์โลกและสังคมมุสลิมเริ่มมีปฏิกิริยาในการต่อต้านรัฐบาลสหรัฐและกลุ่มประเทศตะวันตก ที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดสหรัฐ ขยายวงมากขึ้น

และด้วยกระแสการคัดค้านการโจมตีประเทศอัฟกานิสถานนี่เองได้ขยายวงลุกลามเข้ามาในประเทศไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และในอีก 2 ปีต่อมา สหรัฐอเมริกาก็บุกโจมตีและยึดประเทศอิรักเพื่อขับไล่รัฐบาลของประธานาธิบดีชัดดัม ฮุสเซ็น ทำให้กระแสโลกอิสลามในการต่อต้านสหรัฐอเมริกาได้กระพือมากยิ่งขึ้น

จากผลพวงสถานการณ์ระหว่างสหรัฐกับโลกมุสลิม ที่ขยายวงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสงครามตอบโต้ระหว่างนักรบมุสลิมกับสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้นเหมือนเงาตามตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเสร็จสิ้นสงครามอิรัก รัฐบาลไทยโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีมติครม. ส่งทหารไทยไปอิรัก ท่ามกลางการทัดทานจากสังคมภายในประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่าส่งไปเพื่อฟื้นฟูและ ช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนก็ตาม แต่การโจมตีของสหรัฐต่อประเทศอิรักในครั้งนั้น

แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะอ้างว่าประเทศอิรักมีอาวุธเคมีไว้ในครอบครอง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มตอลีบัน และกลุ่มของนายอุสซามะ บิน ลาเดน ตลอดจนถึงข้ออ้างที่ว่าเพื่อการปลดปล่อยประชาชนชาวอิรัก ที่ถูกปกครองด้วยการกดขี่ข่มเหงจากรัฐบาลภายใต้การบริหารของชัดดัม ฮุสเซ็น ก็ตาม แต่ปฏิบัติการของสหรัฐในครั้งนั้น ก็เป็นไปด้วยข้อกังขาและท่ามกลางกระแสคัดค้านจากประชาคมีโลกและสหประชาชาติอย่างหนักในขณะที่ในประเทศไทยเอง สถานการณ์ไม่ค่อยน่าไว้วางใจมากนักอันเนื่องมาจากกระแสของเครือข่ายการก่อการร้ายที่สหรัฐตั้งนิยามกับการทำสงครามในครั้งนี้ ว่ามีเครือข่าย “อัลกออิดะห์” ของ นายอุสซามะ บิน ลาเดน เเพร่ขยายทั่วเอเซียรวมทั้งประเทศไทยด้วย โดยรัฐบาลได้เพ่งเลิงไปยังในพื้นที่ชายแดนใต้เป็นพิเศษ

วันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2547 เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่และนับเป็นจุดเริ่มต้นของสถานการณ์ภาคใต้ เมื่อกองพลทหารค่ายทหารกองพลพัฒน (ค่ายปิเหล็ง) อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ถูกคนร้ายปล้นอาวุธปืนไปกว่า 400 กระบอก จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นนับเป็นชนวนสำคัญของการปะทุของสงครามไฟใต้อีกครั้ง หลังจากเงียบมานานร่วมทศวรรษ

วันที่ 28 เมษายน 2547 เกิดการปะทะครั้งใหญ่ ที่จังหวัดปัตตานี และ อีกหลายพื้นที่ในชายแดนใต้ เกิดการยิงต่อสู้และทหารยิงใส่มัสยิดกรือเซะ เป็นผลให้กองกำลังเยาวชนมุสลิมเสียชีวิตในมัสยิด 34 ศพ และกระจัดกระจายที่อื่นๆ ครอบคลุม 3 จังหวัดชายแดนใต้ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา รวมแล้ว 107 ศพ

สถานการณ์ครั้งนั้น ทำให้กระแสสังคมในประเทศเกิดความหวาดระแวงและขัดแย้งอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ กับรัฐบาลไทย ที่ นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็พยายามส่งสัญญาณในลักษณะของรัฐนิยมมากขึ้น ทำให้กระแสสังคมได้ลุกลามจนเกือบจะจุดชนวนกลายเป็นความขัดแย้งทางศาสนา

เหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นหลายครั้ง ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่พอใจคนมุสลิมในพื้นที่ชายแดนใต้ ขณะเดียวกันก็มีการปล่อยข่าวการแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนใต้ออกแผนที่ของประเทศ ทำให้กระแสสังคมเริ่มขัดแย้งกินวงกว้างมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรศาสนาอิสลาม อย่าง สำนักจุฬาราชมนตรีเองได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่สามารถเป็นองค์กรที่เป็นที่พึ่งของชาวมุสลิมได้ มิหนำซ้ำยังถูกมองว่า สำนักจุฬาราชมนตรีในยุคนี้เป็นกระบอกเสียง ให้รัฐบาลมากกว่าการปกป้องหรือเป็นกระบอกเสียงให้สังคมมุสลิม

หลังจากเกิดเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานี เมื่อ 28 เมษายน จากนั้นอีก 6 เดือนต่อมา ก็เกิดเหตุการณ์การชุมนุมที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ทำให้มีชาวบ้านเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมถึง 87 คน ทำให้สถานการณ์ชายแดนใต้เลวร้ายลงไปทุกขณะ รัฐบาลถึงกับใช้มาตรการทางทหารมาควบคุมพื้นที่ ด้วยการประกาศเป็นพื้นที่กฎอัยการศึกและตามด้วยการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในเวลาต่อมา

สถานการณ์ชายแดนใต้ที่ก่อความรุนแรงอย่างต่อเนื่องนานร่วม 2 ปี ตั้งแต่ต้นปีต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2548 ล่วงมาถึงในปี พ.ศ.2549 สถานการณ์ยังไม่มีที่ท่าว่าจะยุติลงง่ายๆ

ในขณะที่รัฐบาลในยุคนั้นดูเหมือนกำลังเผชิญกับทางตันในการแก้ปัญหา ต่อมาจึงตั้งองค์กรอิสระ ซึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ” โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาและลดความขัดแย้งทางสังคม

นอกจากองค์กรที่รัฐแต่งตั้งและเป็นเครื่องมือของรัฐแล้ว สำนักจุฬาราชมนตรีก็คืออีกความหวังของรัฐบาลที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการคลี่คลายปัญหาชายแดนใต้ แต่ความหวังว่าองค์กรศาสนาอย่างสำนัก จุฬาราชมนตรีกาลกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพระเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สั่งสมและกระทบกับความรู้สึกของสังคมมุสลิม โดยเฉพาะสำนักจุฬาราชมนตรีถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเครื่องมือของรัฐบาลหรือไม่ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังขากับบทบาทของสำนักจุฬาราชมนตรี และบทบาทของท่านจุฬาราชมนตรี สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ รวมถึง คนใกล้ชิด

สถานการณ์ใต้ ที่เกิดขึ้นในยุดของจุฬาราชมนตรี สวาสดิ์ กระทบต่อการบริหารกิจการองค์กรศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะ มีความไม่พอใจ ของมุสลิมกลุ่มหนึ่ง ต่อบทบาทของจุฬราชมนตรี จากกรณีการเสนอ แนวคิดต่อ ความรุนแรงที่ ทหารบุกโจมตีมัสยิดกรือเซะ วันที่ 28 เมษายน 2547

นอกจากนี้ยัง มีการขัดแย้งจากขั้วการเมืองใน องค์กรศาสนาอิสลาม ระหว่างสายเลือดใหม่ ที่มาจากอำนาจการบริหาร ซึ่งเป็นคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กับขั้วการเมืองในสายของ สำนักจุฬาราชมนตรีที่เข้ามาผสมโรงจากเหตุกรณ์สถานการณ์ชายแดนใต้อีกด้วย

แม้ว่าก่อนหน้านี้ ยังมีการสงวนท่าทีการขัดแย้งในองค์กรศาสนา ไม่เด่นชัดมาก แต่ท่ามกลางสถานการณ์ใต้นั้น ความขัดแย้งในการช่วงชิงอำนาจการบริหาร ในสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กับ ฝ่ายของสำนักจุฬราชมนตรี หลังจากที่ใช้ พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 เริ่มเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

บทความโดย: หนังสือจุฬาราชมนตรี ประวัติศาสตร์ผู้นำไทยมุสลิมจาก สมัยอยุธยา ถึง ยุคทักษิณ