นักข่าวอาวุโสภาคใต้ถาม “กี่ศพไทยพุทธ”ถึงจะดับไฟใต้ได้

จะต้องถม “ศพไทยพุทธ” บนเส้นทางการ “ค้าสงครามไฟใต้” ไปอีกนานเท่าไร?!

/ ไชยยงค์ มณีพิลึก….

13 ปี ความล้มเหลวการแก้ไฟใต้ระลอกใหม่ กัดจิกการปัญหาของรัฐ
เริ่มต้นบรรทัดนี้ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว “ไชยพันธ์” ที่ต้องสูญเสีย นายหัสนัย ไชยพันธ์ และ น.ส.รุ่งรัตนา ไชยพันธ์ ซึ่งเป็น 2 คนพี่น้องชาว อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ซึ่งตกเป็นเหยื่อสถานการณ์ของโจรใต้เป็นรายล่าสุด เมื่อเช้าวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่กำลังทำหน้าที่จดมิเตอร์ไฟฟ้าในฐานะของเจ้าพนักงานการไฟฟ้าฯ

ก่อนหน้านี้ครอบครัว “ไทยพุทธ” ในพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ก็เพิ่งตกเป็นเหยื่อของโจรใต้ไปแล้ว 4 ศพ และชาวไทยพุทธสองสามีภรรยาที่ อ.เทพา จ.สงขลา ก็ตกเป็นเหยื่ออีกเช่นกัน

นั่นเป็นตัวอย่างสำหรับคนบริสุทธิ์ที่กลายเป็น “เครื่องบูชายัญ” ให้กับโจรใต้ เพียงเพื่อการตอบโต้เจ้าหน้าที่ เป็นการแก้แค้นแทนพวกฟ้องของตนเองที่ถูก เจ้าหน้าที่จับกุมหรือวิสามัญ รวมทั้งเป็นการสร้างความรุนแรงเพื่อแสดงออกให้เป็น “สัญลักษณ์” ในการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการ “พูดคุยสันติสุข” รวมทั้งในวันสำคัญๆ เพื่อเป็นการ “ตอกย้ำ” ให้มวลชนระลึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้น

คงจะบอกไม่ได้ว่าการเสียชีวิตของคนไทยพุทธศพแล้วศพเล่าเป็น “ความล้มเหลว” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า, ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) และ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เพราะการปกป้องชีวิตของคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น “พุทธ” หรือ “มุสลิม” ทำได้ยาก ไม่เหมือนกับการป้องกัน การก่อวินาศกรรมในตัวเมืองที่ยังสามารถป้องกันได้

แต่การที่จะไปปกป้องโจรใต้ไม่ให้ฉวยโอกาสฆ่าคนไทยพุทธเป็นเรื่องที่ยากมาก และในเรื่องของ “การข่าว” ก็ยากกว่าการหาข่าวการก่อวินาศกรรม เนื่องจากการฆ่าคนไทยพุทธมีเป้าหมายให้เลือกมากมาย ซึ่งหากโจรใต้จะก่อเหตุทุกวันก็ย่อมได้ แต่ที่พวกมันไม่ก่อเหตุยิงไทยพุทธเป็นรายวัน เป็นเพราะหากทำเช่นนั้นจริงๆ โจรใต้ก็จะ “ถูกไล่ล่า” ซึ่งย่อมส่งผลกระทบกับงาน “การเมือง” และ “แนวร่วม” ในพื้นที่

ดังนั้น วิธีการของโจรใต้ หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็คือ ก่อเหตุแบบ “ทิ้งช่วง” เพื่อ “หล่อเลี้ยง” ความรุนแรง และสร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิดความโกรธแค้นระหว่างพุทธกับมุสลิม เพื่อรอการ” “ปะทุ” ของคนไทยพุทธที่ไม่ได้อยู่ใน “โลกสวย”

โดยเฉพาะการเลือกพื้นที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ในการปฏิบัติการ เนื่องจาก อ.แม่ลานเป็นอำเภอหนึ่งเดียวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีการประกาศใช้กฎหมายมาตรา 21 เช่นเดียวกับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา เพื่อเป็นช่องทางให้โจรใต้ หรือแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน สามารถเข้าสู่ขบวนการ “กลับบ้าน” โดยไม่ต้องรับโทษทาง ป.วิอาญา

แต่การที่ไทยพุทธกลายเป็นเหยื่อเป็นระยะๆ ถึง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะไม่ล้มเหลวในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยพุทธ เพราะเป็น “เหตุสุดวิสัย” ก็จริง แต่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่พ้น

สิ่งที่คนไทยพุทธทวงถามมาโดยตลอดคือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะดำเนินการอย่างไรในการ “ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยพุทธ” อย่าให้ตกเป็นเหยื่อของโจรใต้แบบศพแล้วศพเล่า โดยที่ทุกอย่าง จบแค่การ “เยียวยา” เท่านั้น

และที่ต้องถามกันแบบตรงๆ คือ การตายของคนไทยพุทธทั้ง 3 ครอบครัวในเวลาติดๆ กัน เป็นฝีมือของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือเป็นเรื่องของ “ภัยแทรกซ้อน” ตรงนี้ขอคำตอบที่ชัดเจน เพราะคนในพื้นที่ต่าง “สับสน” ว่าในที่สุดแล้วความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมานั้น…

เป็นเรื่องของ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น โคออดิเนต” ที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศมาเลเซีย หรือเป็นเรื่อง “ภัยแทรกซ้อน” ที่มาจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ค้าน้ำมันเถื่อน ค้ายาเสพติด สินค้าเถื่อนต่างๆ บ่อนการพนัน หรือการเมืองท้องถิ่นกันแน่

เนื่องเพราะตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ผู้ที่มาทำหน้าที่ “แม่ทัพ” ในการดับไฟใต้มีถึง 8-9 คนแล้ว แต่ต่างมีคำตอบเรื่องความรุนแรงในสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เหมือนกัน

เห็นได้จาก พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย ที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในการดับไฟใต้ และได้เขียนตำรากว่า 10 เล่มเปิดโปงแผนการแบ่งแยกดินแดนของบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อเนื่องด้วย “แม่ทัพ” อีกหลายคนที่ “ชี้ชัด” ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากบีอาร์เอ็น

แต่แล้ววันนี้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกลับถูก “ผู้บริหารประเทศ” พยายามชี้ให้คนทั้งประเทศเห็นว่าเป็นเรื่อง “ภัยแทรกซ้อน” ที่ไม่ใช่ฝีมือของ “บีอาร์เอ็น”

ถ้าอย่างนั้นถามต่อไปว่าเมื่อเหตุร้ายทั้งหมดเป็นเรื่องภัยแทรกซ้อน แล้ววันนี้เราเสียเวลาไปพูดคุยกับ “กลุ่มมาราปาตานี” ไปทำไมให้เสียทั้งเวลา เสียทั้งงบประมาณ และเป็นการ “ยกระดับ” ให้สังคมโจรใต้ไปเสียด้วย

ก็เมื่อความรุนแรงทั้งหมดมาจากเรื่องภัยแทรกซ้อน เราก็แค่จับ “โกป๊อก” จับ “โกกุ่ย” หรือจับบรรดา “นายก อบต.” “กำนัน” หรือ “ผู้ใหญ่บ้าน” ที่มีชื่อในสารระบบของ ปปส.ของตำรวจ หรือของฝ่ายปกครอง ทั้งหมดก็สามารถยุติเรื่องของไฟใต้ได้แล้ว ซึ่งก็น่าจะไม่ต้องใช้ชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็น “เครื่องสังเวย” แต่อย่างใด

นี่คือเรื่อง “ย้อนแย้ง” ที่เกิดขึ้นกับการดับไฟใต้ ที่สุดท้ายแล้วไม่รู้อะไรจริง อะไรเท็จ
ดังนั้น จึงสมควรแล้วที่คนไทยพุทธในพื้นที่จะลุกขึ้นเรียกร้องให้หยุดกระบวนการ “พูดคุยสันติ สุข” และ “พาโจรกลับบ้าน” เพราะเขาคนเห็นชัดแล้วว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและการกระทำของฝ่ายความมั่นคงมัน “ย้อนแย้ง” กันเองแบบสุดแสนจะ “ลับ ลวง พลาง” โดยมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” มหาศาล

“ความย้อนแย้ง” ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือการ “ตอกย้ำ” ให้เกิดความไม่เชื่อมั่นของคนในพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเรื่องของ “ถังแก๊ส” ซึ่งในทางปฏิบัติมีการให้สัมภาษณ์ว่า หากชาวบ้านที่มีถังแก๊สที่เป็น “ถังเหล็ก” ในความครอบครอง ตอนนี้ยังไม่มีความผิด สามารถใช้ได้ตามปกติ

แต่บนถนนทุกสายจาก อ.จะนะ อ.นาทวี อ.เทพา และ อ.สะบ้ายย้อย จ.สงขลา จนถึง จ.ยะลา จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส ต่างยังเต็มไปด้วย “ป้ายไวนิล” ติดประกาศหราและระบุชัดว่า ใครครอบครองถังแก๊สที่เป็นถังเหล็กมีโทษปรับ 20000 บาท และมีโทษจำคุก 2 ปี

ตกลงอะไรคือ “เท็จ” และอะไรคือ “จริง”?!

เช่นเดียวกับที่ถนนทุกสายในทุกพื้นที่ดังกล่าวยังเต็มไปด้วย “ป้ายไวนิล” ทีเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด เรื่องการก่อการร้าย และเรื่องอื่นๆ ซึ่งเป็นทั้งการเตือน การรณรงค์ และการประชาสัมพันธ์แบบที่ต้องเรียกว่ายกย่องเชิดชู “นาย” และ “หน่วยงาน” แต่ภาษาที่ใช้เกือบทั้งหมดกลับเน้นให้เป็น “ภาษาไทย”

ในขณะที่เราพร่ำบอกว่า “คนส่วนใหญ่” ในพื้นที่ “ภาษาไทยไม่เข็มแข็ง” พูดไทยไม่ชัด อ่านไทยไม่ออก แต่ป้ายไวนิลทั้งหมดกลับเป็นภาษาไทย

ถามว่าเราต้องการที่ “สื่อ” ข้อความเหล่านั้นกับใคร ให้ใครรับรู้ และเราต้องการที่จะ “ตอบโจทย์” เรื่องอะไร?!

หรือสุดท้ายแล้วการดับไฟใต้ทุกโครงการที่ทำนั้น เป็นเพียงแค่ต้องการให้หน่วยงาน หรือให้สังคมเห็นว่า “ทุกฝ่ายได้ทำแล้ว” หรือ “ได้ใช้งบประมาณที่ตั้งไว้ไปหมดแล้ว” โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่าสิ่งที่ได้ทำว่าจะเสียทั้งงบประมาณ เสียทั้งเวลา และที่สำคัญที่สุดได้ตอบโจทย์ของการดับไฟใต้หรือไม่?!

เช่นเดียวกับ “เวทีแสดงความคิดเห็น” เพื่อ “การปรองดอง” เพื่อแก้ปัญหา “ความขัดแย้ง” ของประเทศ ซึ่งกำลังเร่งจัดกันอยู่ในขณะนี้ ด้วยการให้ผู้คนทุกสาขาอาชีพแสดงความคิดเห็นเพื่อรวมรวมส่งให้กับ คสช. ในขณะที่บางจังหวัดที่พบว่าพยายามที่จะ “รวบรัด” และ “ตัดตอน” การแสดงความเห็นของคนที่ถูกเชิญ เพื่อให้รวดเร็ว เพื่อให้จบในเวลาสั้น

ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ไม่เห็นถึงความสำคัญของการปรองดอง เพียงแต่ต้องการทำให้เสร็จๆ เพื่อที่จะได้ตอบว่า “ได้ทำแล้ว” เท่านั้นเอง ส่วนจะ “ตอบโจทย์” ของ “ความปรองดอง” หรือไม่นั้น ไม่ต้องสนใจ

ฉะนั้น เมื่อเป็นฉะนี้ จึงอย่าได้แสดงอาการ “หัวฟัดหัวเหวี่ยง” กับ “ความล้มเหลว” ของ 13 ปีในการดับไฟใต้ระลอกใหม่ และหากคนในพื้นที่จะตั้งขอสงสัยว่า การดับไฟใต้ที่ไม่สำเร็จเป็นเพราะมีการ “ค้าสงคราม” และ “ค้ากำไร” บนความตายของผู้คน เนื่องจากการแก้ปัญหาที่เต็มไปด้วย “ความย้อนแย้ง” ทำให้คนในพื้นที่เขามีสิทธิ์ที่จะตั้งข้อสงสัยใน “นโยบายดับไฟใต้” ได้นั่นเอง

และถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้ต่อเนื่องไป เราจะต้องสูญเสียพี่น้องชาวไทยพุทธเพื่อใช้ศพถมทางดับไฟใต้อีกเท่าไหร่ครับ?!?! NN.