‘นราฯ’ล็อคดาวน์ 3ชุมชน 6 สถานที่ สกัดโควิดระบาดหนัก ที่ท่องเที่ยวดังรวมด้วย

ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ นราธิวาส สั่งปิด หาด 3ชุมชน และหาดท่องเที่ยวชื่อดัง”นราทัศน์-อ่าวมะนาว” เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโควิด-19 หลังพบยอดผู้ป่วย 515ราย

วันที่ 2 พ.ค.2564 ศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข:กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จ.นราธิวาส ระลอกเริ่ม 1 เม.ย.2564 เป็นต้นมา โดยข้อมูลวันที่ 1 พ.ค.2564 ยอดผู้ป่วยสะสม (รวมที่มาจากต่างประเทศ) จำนวน 515 ราย กำลังรักษาในโรงพยาบาล 43 ราย รักษาหาย 471 ราย และเสียชีวิต 1 ราย

และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ในพื้นที่ อ.เมืองนราธิวาส ระลอกใหม่ ทำให้ล่าสุดนายเจษฎา จิตรัตน์ ผวจ.นราธิวาส ได้มีคำสั่งที่ 2457/2564 โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.นราธิวาส ตามมติที่ประชุมครั้งที่ 22/2564 เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2564 ดังต่อไปนี้
1.ให้ปิดชุมชน 3 ชุมชนในเขตพื้นที่ อ.เมืองนราธิวาสซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดและเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ประกอบด้วย ชุมชนเมาะสือแม,ชุมชนกำปงบารู 2 และชุมชนท่าเรือ 2000ทั้งนี้ให้อำเภอเมืองนราธิวาสดำเนินการดังนี้
1.จัดให้มีทางเข้า-ออกเพียง 1 ทางและใช้สิ่งกีดขวาง ลวดหนามหีบเพลงปิดช่องทางเข้าทางออกอื่นๆ
2.จัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขควบคุมการเดินทางเข้า-ออก โดยมีการสังเกตอาการ วัดอุณหภูมิ และกำชับทุกคนให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาเมื่ออยู่นอกเคหสถานหรือเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
3.จัดให้มีการลงทะเบียนหรือสแกนแอปพลิเคชั่น “หมอชนะ” หรือ “ไทยชนะ”

นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้ปิดสถานที่ในเขตพื้นที่ อ.เมืองนราธิวาสอีก 6 แห่งประกอบด้วย หาดนราทัศน์,หาดอ่าวมะนาว,สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา,สวนกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์,ลานนกเงือกและสนามกีฬาเทศบาลเมืองนราธิวาส

ทั้งนี้ห้ามผู้ใดเข้า-ออกชุมชนหรือสถานที่ตามที่กำหนดไว้ข้างต้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตซึ่งจังหวัดนราธิวาสขอความร่วมมือประชาชนในเขตพื้นที่ อ.เมืองนราธิวาส ที่มิได้ถูกปิดชุมชนหรือสถานที่ มิให้ออกจากเคหสถานในช่วงเวลา 22.00-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น เว้นแต่มีเหตุจำเป็น

โดยให้ อ.เมืองนราธิวาสเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในชุมชนหรือสถานที่ที่จังหวัดนราธิวาสมีคำสั่งปิด
หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ มีความฺผิดตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และเป็นความผิดตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ