“จตุพร”อัดยับ!!”สิระ”แค่มนุษย์ไร้ค่า ไม่อายหมาขี้เรื้อน”ลุงตู่”ยังกล้าเอามาข้างกาย

ประธานนปช.ฉะยับ “สิระ เจนจาคะ” มนุษย์ไร้ค่า เปรียบได้แค่”หมาขี้เรื้อน” ไม่อยากเชื่อ มนุษย์โสโครกแบบนี้ “ลุงตู่” ยังกล้าเอามาเคียยงข้างกาย

วันที่ 19 เม.ย.64 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ตอบโต้นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พลังประชารัฐ และประธานกรรมาธิการกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร โดยยกสุภาษีสวนกลับว่า พวกนายว่าขี้ข้าพลอย

นายจตุพร อ่านข้อความที่ถูกนายสิระกล่าวหาอย่างหยาบคายด้วยข้อความเท็จ พร้อมตอบโต้กลับว่า นายสิระ เป็นพวกมนุษย์ที่ไร้ค่า ไม่มีความน่าเชื่อถือ และก่อนมาเป็น ส.ส.ก็ถูกคดีอาญามากมาย ที่สำคัญคือ ตกเป็นจำเลยในคดีฉ้อโกง และใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น แล้วยังเคยต้องโทษจำคุกที่เรือนจำพิเศษมาด้วย

พร้อมทั้ง กล่าวว่า วันที่ 24 เม.ย.นี้ ตั้งแต่เวลาบ่ายโมงตรง คณะสามัคคีประชาชนจะเปิดอภิปรายไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย แต่ที่ผ่านมากลับมีพวกเส็งเคร็งทางการเมืองออกมาวิพากษ์วิจารณ์คณะสามัคคีประชาชน โดยเฉพาะนายสิระ ได้กล่าวหาตนอย่างหยาบคายด้วยข้อความอายหมาบ้างหรือไม่ ที่โหนกระแสเด็ก พวกขี้คุก ถูกคนเสื้อแดงเท และไม่มีใครเชื่อลมปากพวกคนล้มเจ้า

นายจตุพร ตอบโต้นายสิระ ที่กล่าวหาโหนกระแสเด็กมาเรียกมวลชน ว่า นายสิระ นอกจากปากหมาแล้ว ใจยังหมาขี้เรื้อนด้วย และพวกโหนเป็นพวกที่เลวที่สุดที่เอาสถาบันมาปกป้องตัวเองแล้วทำลายคนอื่น “ผมยืนยันอย่างชัดเจนมาแต่ต้นว่า ผมมีแนวทางเดียว คือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ด้วยความเข้าใจกันเป็นอย่างนี้และพูดชัดมาแต่ต้น”

ส่วนการแสดงคิดเห็นถึงสิทธิประกันตัวนั้น ตนกล่าวอย่างพื้นฐานที่มนุษย์ควรได้รับสิทธินี้ แล้วยังเป็นเรื่องเมตตาที่สังคมต้องให้ระหว่างกัน ไม่ใช่ใครไปโหนใคร ซึ่งการกล่าวเช่นนั้น ไม่ใช่การปลุกมวลชน หรือโหนกระแสเด็ก เพราะคณะสามัคคีประชาชนยังไม่ถึงขั้นเรียกมวลชนชุมนุมเอาจริง

อีกอย่างการชุมนุมที่สวนสันติธรรมเมื่อ 4-5 และ 7 เม.ย.ที่ผานมานั้น เป็นเพียงการทำความเข้าใจกันว่า ระบอบประยุทธ์ ได้ทำให้บ้านเมืองกำลังล่มจมพินาศ ไม่ใช่การชุมนุมที่เรียกระดมพล รวมทั้งยามที่บ้านเมืองใกล้พินาศนั้น กลับมีคนได้ประโยชน์จะระบอบอประยุทธ์ ที่เอาคน สับปะรังเคอย่างนายสิระ มาค้ำบัลลังก์ น่าอับอายขายขี้นหน้าที่สุด

นอกจากนี้ ตนเคลื่อนไหวทางการเมืองมาตลอดตั้งแต่วัยเด็ก ได้นำการต่อสู้กับคณะทหารยึดอำนาจในเหตุการณ์พฤษภา 35 ที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ดังนั้น ตนไม่จำเป็นต้องแสวงหาชื่อเสียงใดๆเพิ่มเติม

“นายสิระ ถ้าถามว่าคนหน้าด้าน ปากหมา ใจหมาควรจะอับอายนั้น คือ คนที่มีพฤติการณ์ฉ้อโกง ทำร้ายร่างกายผู้อื่น คนแบบนี้ที่เข้ามาเป็น ส.ส. มีพฤติกรรมติดคุกเพราะคดีขี้ฉ้อทั้งหลาย ซึ่งศล รธน.กำลังจะวินิจฉัย ถ้าดูจากสาระแล้วคงช่วยกันยาก”

อีกทั้ง ที่บอกว่าก้าวล่วงสถาบันนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เป็นการใส่ร้าย เข้าข่ายหมิ่นประมาท เพราะการเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนหนุ่มสาวคณะราษฎรนั้น เป็นสิทธิของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น ควรมีพื้นที่ของความเห็นต่างได้ และมนุษย์พึ่งมีให้แก่กัน แต่ตนไม่ก้าวล่วงในเนื้อหาของคดี 112

ส่วนการดำเนินคดีของกองบัญชาการตำรวจนครบาลนั้น นายจตุพร กล่าวว่า การชุมนุมที่ผ่านมาจะถูกกล่าวหาเป็นคดีเดียว แต่ยุคนี้กลับเล่นกันเป็นรายวัน จึงเป็นกรณีเปรียบเทียบ แสดงถึงการตั้งข้อหามิชอบ

“ประยุทธ์ ไม่รู้กำพืดของสิระหรือ เพราะมีคดีมากมายทั้งออกเช็คเด้ง มีคดีฉ้อโกง ถูกกล่าวหาปลอมเอกสารทางราชการ เคยติดคุกในเรือนจำพิเศษ ยังมีคดีหมิ่นประมาทอีก 11 คดี คดีขับรถเร็วประมาท แล้วยังมีคดีทำร้ายร่างกายคนอื่น คนแบบนี้หรือที่มาปกป้องคนดี ประยุทธ์จะไม่รู้สึกรู้สาได้อย่างไง และเอาไปเป็นประธานกรรมาธิการกฎหมายได้ไง เพราะคนนี้ยิ่งกว่าน้ำเน่าเสียอีก”

นายจตุพร กล่าวว่า การเรียกร้องให้ประยุทธ์ ออกไปนั้น ต่างใช้ความคิดเห็นแบบมีวุฒิภาวะ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาโควิดล้มเหลว จนประชาชนขาดความเชื่อมั่น และเศรษฐกิจย่ำแย่ โรงแรมต้องปิดตัวแล้วประกาศขาย ซึ่งมีแต่ทุนต่างชาติเท่านั้นจะสามารถซื้อได้ วันนี้ เราพยายามทำความคิดกับประชาชนและต้องสามัคคีกันเฉพาะหน้า เพื่อจัดการรัฐบาล อีกทั้งคุณภาพของรัฐบาลจะมีแค่ไหนต้องต้องดูจาก ส.ส.ที่เลือกรัฐบาลนั่นเอง