รัฐสภาไทย มูลค่า 1.2หมื่นล้าน พร้อมเปิดใช้อย่างเป็นทางการ วันที่ 1 พ.ค.2564 เผยจุดเด่นสำคัญ “เครื่องยอดทองคำ” สัญญลักษณ์ “เขาพระสุเมร” ความเชื่อของไทยใน หลักไตรภูมิ
วันที่ 11 เมษายน 2564 นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้าการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ว่าในวันที่ 1พ.ค.นี้ รัฐสภาจะเปิดใช้อาคารอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากใช้เวลาก่อสร้างมานาน 8 ปีเต็ม และเป็นอาคารรัฐสภาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะนี้สร้างเสร็จแล้ว เกือบ 99% อยู่ระหว่างการปรับภูมิทัศน์ และส่งมอบงาน ส่วนงานระบบทั้งหมด เสร็จเกือบ100% แล้ว
โดยที่ผ่านมาเปิดใช้เพียงพื้นที่การประชุม ของ ส.ส. และ ส.ว. เท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่ส่วนกลาง ที่ยังไม่ได้เปิดใช้ โดยจุดเด่นสำคัญ คือ เครื่องยอดทองคำ ที่เป็นสัญลักษณ์ ของเขาพระสุเมร ในคติความเชื่อทางศาสนา“หลักไตรภูมิ” ผู้ออกแบบคือ รศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี และ อ.เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติสาขาสถาปัตยกรรมไทย โดยหวังสืบสานงานสถาปัตยกรรมไทยที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งหลักไตรภูมิ ถือเป็นพื้นฐานของสังคมไทย สะท้อนถึงการประกอบคุณงามความดี ทำให้เป็นสถานที่ที่ “ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว”
นางพรพิศ กล่าวต่อว่า ส่วนเบื้องล่างของ เครื่องยอด เป็น “โถงรัฐพิธี” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนิน มาในการรัฐพิธี เปิดสมัยประชุมรัฐสภาขึ้นครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทุกสมัย ภายในตกแต่งด้วยงานจิตรกรรมฝาผนัง ของสำนักช่างสิบหมู่กรมศิลปากร มีการวาดภาพเรื่องราวสังคมไทยทั่วทุกภาค นอกจากนั้นมีการเพิ่มภาพประชาชนสวมหน้ากาก ป้องกันโควิด-19 เพื่อบันทึกเหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบันด้วย อย่างไรก็ตามอาคารรัฐสภาก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2556 ด้วยงบประมาณ วงเงินประมาณ 12,000ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอย 424,000 ตารางเมตรบนเนื้อที่ ประมาณ 120 ไร่ ตัวอาคารมีทั้งสิ้น 11 ชั้น แบ่งเป็นส่วนของ สภาผู้แทนราษฎรทางทิศเหนือ มีห้องประชุมพระสุริยัน สำหรับประชุมส.ส.และประชุมร่วมรัฐสภา และส่วนของวุฒิสภาทางทิศใต้ มีห้องประชุมพระจันทราสำหรับประชุมวุฒิสภา
“ยืนยันว่า อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เกิดขึ้นให้คนไทยได้มีความภาคภูมิใจให้ศิลปะความเป็นไทย โดยจะเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้เยี่ยมชมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ทางการเมืองผ่านพิพิธภัณฑ์ประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังมีลานประชาชนให้ประชาชนได้เข้าใช้บริการด้วย โดยจะเริ่มรื้อรั่วโดยรอบการก่อสร้างออกตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.นี้เป็นต้นไป” เลขาธิการสภาฯ กล่าว