เป็นปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ หลัง “รุ่นใหญ่” คัมแบ็ก แย่งซีน “รุ่นใหม่” ที่กำลังเคลื่อนไหวไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
“รุ่นใหญ่” ที่ว่า คือ ป้อมค่ายเก่า ที่เคยเป็นตัวชูโรงในการต่อสู้กับฝ่ายกุมอำนาจอย่าง “ขุนทหาร” อย่างพรรคเพื่อไทย และอดีตแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ “คนเสื้อแดง” ที่เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอย่างถี่ในช่วงระยะหลัง
เริ่มตั้งแต่ “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ก่อนหน้านี้หายไปจากสารบบ ผลุบๆ โผล่ๆ ไม่ต่อเนื่อง ปล่อยให้ “รุ่นใหม่” อย่าง “ตี๋เอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ รวมถึงกลุ่มราษฎร ได้ซีนตลอดในช่วงที่ผ่านมา แต่พักนี้โผล่สม่ำเสมอ ในหลายช่องทาง
ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำโครงการ The Change Maker’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการของพรรคเพื่อไทย ขณะที่ก่อนหน้า ก็ใช้ชื่อ Tony Woodsome เข้าไปพูดคุยในแอปพลิเคชัน Clubhouse จนเป็นขาประจำ
หรืออาจรวมไปถึง กลุ่ม CARE ที่เป็น “สายตรง” ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย, “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช, “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กระทั่ง “จอมยุทธ์หูกระต่าย” พันศักดิ์ วิญญรัตน์ มือทำงานสมัยระบอบทักษิณเฟื่องฟู ก็ถูกเข็นออกมาใช้งาน
เป็นบรรยากาศเก่าๆ ราวกับงานคืนสู่เหย้า “คนไทยรักไทย”
ความเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ” และเหล่าสมุนสายตรง ในโมงยามนี้ จากที่เคยเงียบเป็นเป่าสาก ดูเป็นอะไรที่น่าจับตาและย่อมมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะ “ทักษิณ” ที่ทุกย่างก้าวย่อมหวังผล การออกมาแต่ละครั้ง เหตุผลหลักๆ มักหนีไม่พ้น 2 ประการ นั่นคือ ปกป้องตัวเอง กับ ปลุกระดมหรือสร้างความนิยมในสิ่งที่ตัวเองต้องการผลลัพธ์
คราวไหน “ทักษิณ” เลือกจะหายไปจากความสนใจ ก็เป็นเพราะการออกมาแสดงตัวไม่ส่งผลต่อตัวเองและครอบครัว หรือการออกมาครั้งนั้นไม่คุ้มกับการเปลืองตัว
“ทักษิณ” คือ นักธุรกิจ ที่ชีวิตคิดแต่กำไร-ขาดทุน หากไม่ได้เปรียบหรือกำไร ไม่มีทางที่จะออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า ดูอย่างการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา ว่ากันว่า “ท่อน้ำเลี้ยงจากดูไบ” ไม่ไหลเข้าสู่พรรคเพื่อไทยเลย จน ส.ส. ต้องล้วงกระเป๋า ทุบกระปุกออมสินสู้กันตามยถากรรม นั่นเพราะรู้ว่า สงครามครั้งนี้ตัวเองไม่มีทางชนะ จึงปล่อยตามมีตามเกิด
เช่นเดียวกับการที่ไม่เคยออกมาสนับสนุน หรือส่งเสียงเชียร์ “ธนาธร” ตัวละครใหม่ที่ชนกับเผด็จการ หรือ “ม็อบสามนิ้ว” กลุ่มราษฎรที่กำลังก่อหวอดปีนบันไดไต่เพดาน “ทะลุฟ้า” กันอยู่ แทบไม่มีเลยที่จะออกมาโพสต์ หรือพูดปลุกระดม ชวนคนเสื้อแดงมาสมทบ ทั้งที่สามารถทำได้
เหตุก็เพราะ “ทักษิณ” รู้อีกเช่นกันว่า สงครามครั้งนี้ไม่มีทางที่ม็อบสามนิ้วจะโค่นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้ ตราบใดที่เลยธงไปไกล
และการที่พรรคเพื่อไทย ต้องสิ้นสภาพความเป็นผู้นำในฝ่ายค้าน ปล่อยให้พรรคเด็กเมื่อวานซืนอย่าง อนาคตใหม่-“ก้าวไกล” มาวัดรอยเท้า-ขโมยซีน ได้รับคะแนนความนิยมจากคนรุ่นใหม่ มันก็เพราะเจ้าของพรรคตัวจริงอย่าง “ทักษิณ” ไม่ได้ส่งสัญญาณ หรือสั่งการใดๆ ว่าควรจะทำอย่างไร
แต่การที่ “ทักษิณ” รีเทิร์น พยายามทวงคืนเป็น “ผู้นำทางความคิด” ฝั่งตรงข้ามรัฐบาลอีกครั้ง ย่อมแสดงให้เห็นว่า มีการดีดลูกคิดมาแล้วว่า ตัวเองจะได้อะไรมากกว่าเสียอะไรในการเปลืองตัว ประกอบกับกระแส “ธนาธร-ม็อบ 3 นิ้ว” แผ่วลงไปอย่างน่าใจหาย ซึ่งก็น่าจะเป็นช่วงจังหวะที่มวลชนคนเสื้อแดงเริ่มหวนกลับมา “คิดถึงทักษิณ” และเดินหมากเพื่อสร้าง “เกมต่อรอง-เกมอำนาจ” อีกครั้ง
และแน่นอนคนระดับ “นายห้างดูไบ” คงไม่นึกคึกเดินดุ่ยๆ คนเดียว มีการ “วางงาน” ให้องคาพยพขยับเดินเกมขยายเครือข่าย สร้างแนวร่วม ไว้อย่างเป็นระบบ มีการแตกพรรค แตกกลุ่ม ไม่ต่างจาก “แฟรนไชส์” เปิดหน้าร้านสร้างฐานลูกค้าให้มากที่สุด
ตั้งแต่ความเคลื่อนไหวของอดีตลูกน้องเก่าอย่าง “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ก็ดูน่าสนใจ หลังพยายามทำตัวเป็น “กูรูการเมือง” มาสักระยะหนึ่ง แบบครึ่งๆ กลางๆ บางวันด่ารัฐบาล บางวันด่าม็อบราษฎร จนคนสับสนในจุดยืน
ล่าสุดอยู่ๆ ก็จัดตั้ง “กลุ่มสามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย” นัดชุมนุม ภายใต้คอนเซปต์ “ไทยไม่ทน” ครั้งแรกในวันที่ 4 เมษายน 2564 เวลา 16.00 น. ที่อนุสาวรีย์วีรชนพฤษภา 35 เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยน และจัดตั้งองค์กร โดยจะเดินสายคุยกับผู้เห็นต่างกันในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา เพื่อจัดการกับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
สำหรับกลุ่ม “ไทยไม่ทน” เบื้องต้นมีผู้ตอบรับจากหลากหลายกลุ่มที่มีบทบาทเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา อาทิ อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35, นายสมชาย หอมลออ ที่ปรึกษาสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน, นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการ สำนักงานตรวจเงินแห่งชาติ (สตง.), นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน, น.ส.ณัฎฐา หรือโบว์ มหัทธา นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมือง, นายเยี่ยมยอด ศรีมันตะ กลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย, น.ส.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ เลขาธิการองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย หรือ P-Net, นายกมล กมลตระกูล กรรมการนโยบาย สภาของผู้บริโภค, นายไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และนายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)
จากรายชื่อที่ว่ามา ก็ต้องนับว่าเป็นส่วนผสมที่น่าสนใจ เพราะเป็นการรวมพลจากกลุ่มคนที่มีบทบาททางการเมืองต่างฝ่าย ต่างสีเสื้อ และบ้างก็เคยมีความคิดเห็นที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย จึงอาจพูดได้ว่ากลุ่มไทยไม่ทน เป็นการร่วมมือกันในลักษณะ “รวมการเฉพาะกิจ”
ถอดรหัสจากคำพูดของนายจตุพรที่ว่า ที่ผ่านมา เสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. ต่างถูกหลอกถ้วนหน้า และไม่อาจปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำกับประเทศไทยในลักษณะอย่างนี้ต่อไปได้
ว่ากันตามหลัก “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” เจาะจงชี้เป้าไปว่า ศัตรูของทุกกลุ่ม ทุกสีเสื้อ ในวันนี้ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายกุมอำนาจปัจจุบัน
น่าสนใจไม่น่อยที่ “เดอะคึก” เทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ที่สถานะปัจจุบัน “ตกงาน” มาเหนือมาคาดหมาย จากที่เคยด่าทอ “จตุพร” วันนี้กลับมาอวยว่า ม็อบนี้น่ากลัว เพราะเป็นการรวมตัวของคนที่ผิดหวังกับการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน
แต่ขณะเดียวกัน แม้จะเป็นการรวมตัวของคนสารพัดสี แต่ภาพของกลุ่ม “จตุพร” ก็ดูจะเป็นรวมพล “คนอกหัก” เสียมากกว่า เพราะล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่เคยถูกเจ้านายเก่าเฉดหัว หรือหลอกใช้
และแม้หลายฝ่ายจะมองว่า การคัมแบ็กก่อม็อบบนถนนของ “จตุพร” ดูน่ากลัว เพราะเคยระดมเสื้อแดงเข้ากรุงมาแล้วในปี 2552-2553 หากแต่สถานะปัจจุบันของประธาน นปช. แตกต่างจากวันนั้นมาก
ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่ “จตุพร” ออกจากคุก พฤติกรรมหลายอย่างเปลี่ยนไป ถึงขั้นคนเสื้อแดงบางส่วนเย้ยหยัน ค่อนแคะว่า “เพี้ยนหนัก” หรืออุดมการณ์ได้รับการกระทบกระเทือน
แฟนคลับเสื้อแดงที่ติดตาม “จตุพร” จริงๆ เหลือไม่เท่าไร ในระยะหลังๆ มานี้ เห็นได้ชัดว่า เสื่อมมนต์ขลังในมิติของผู้นำคนเสื้อแดง ไม่ว่าแตะต้อง หยิบจับอะไรหนักไปล้มเหลวทั้งสิ้น
ตั้งแต่การรณรงค์ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่สุดท้ายประชาชนกลับรับร่างผ่านฉลุย การไปตั้งพรรคเพื่อชาติ หวังให้เป็นพรรคของคนเสื้อแดง สุดท้ายตีกันเองภายใน แถมโดน “ยงยุทธ ติยะไพรัช” ยึดพรรคไป จนตัวเองเหลือแค่ “อารี ไกรนรา” เป็น ส.ส.สายตรงคนเดียว
หรือการเปิดศึกกับ “ทักษิณ” ในสนามเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ โดยลงทุนขึ้นไปช่วย “บุญเลิศ บูรณปกรณ์” หาเสียง แต่สุดท้ายแพ้ “นายใหญ่” เละเทะ
ขณะเดียวกัน ในสายตาคนรุ่นใหม่ “จตุพร” คือ แกนนำที่หลงยุคไปแล้ว ตลกร้ายกว่า มีการระแวงกันว่า “จตุพร” มาเพื่อลดเพดานที่ทะลุฟ้าของม็อบ 3 นิ้ว ให้เหลือแค่ “โค่นรัฐบาล 3 ลุง” ดังนั้น การออกมาอีกครั้ง นอกจากเด็กจะไม่มาเดินตามแล้ว อาจทำให้ตัวเองต้องขายขี้หน้า ตอกย้ำความสิ้นน้ำยาของตัวเอง
กลับกัน มันยังถูกมองเหลือแค่ในมิติของการ “หาซีน” ในทางการเมือง
และบางทีอาจจะเหลือแค่ “จตุพร” คนเดียวเท่านั้น ที่ยังคิดว่า ตัวเองเป็นผู้นำคนเสื้อแดง เพราะนาทีนี้ ไม่ใช่แค่ตัวเองที่กลับมาเคลื่อนไหว หากแต่มีอดีตน้องรักอย่าง “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เพิ่งพ้นคุกออกมา และประกาศว่า จะอยู่ฝั่งประชาธิปไตยเช่นกัน
อดีตสองเกลอหัวขวด แม้จะเคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่สมรภูมิราชประสงค์ แต่ทุกคนรู้ว่า ปัจจุบันสถานะความสัมพันธ์ กลายเป็นคนที่พูดกันคนละภาษา
และในมุมมองคนเสื้อแดง “ณัฐวุฒิ” ป๊อบปูล่ามากกว่าในการเรียกแขก แค่การตั้งโต๊ะแถลงทันทีที่ถอดกำไลอีเอ็ม ก็ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ต้องการประกาศตัวเป็นผู้นำคนใหม่
เชื่อว่ามีการวางตัว วางแผนกันไว้หมดในการเขี่ย “จตุพร” พ้นเก้าอี้ตัวนี้ เหมือนที่สื่อออนไลน์ค่ายเสื้อแดง “ยูดีดีนิวส์” ชี้นำด้วยทำการสำรวจความเห็นคนเสื้อแดงเอาไว้รอ แล้วพบว่า 90% ต้องการจะเปลี่ยนตัวประธาน นปช.คนใหม่
ขณะเดียวกัน การชิงการนำของ “ณัฐวุฒิ” ก็มีจุดหมายชัดว่า เพื่อตรึงกำลังคนเสื้อแดงเอาไว้ พร้อมๆ กับแตะมือเบาๆ กับ “กลุ่มคนเสื้อส้ม” ของ “ธนาธร” และ “ม็อบ 3 นิ้ว” ของ “เด็กๆ” แล้วโยก “จตุพร” ที่มีคอนเนกชันกับหลายภาคส่วนทางการเมือง และมีภาพเอาใจออกห่างจาก “ผู้เป็นนาย” แยกสาขาไปเก็บแต้มจากกลุ่มอื่นแทน
ไม่ใช่แค่คู่หู “ตู่-เต้น” ที่ออกมาขยับแข้งขยับขา องคาพยพอื่นที่มีกลิ่นอาย “เถ้าแก่ทักษิณ” เจืออยู่ ก็มีมูฟเในท?ออกมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะรายของ “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่สวมคอนเวิร์สไปกันคนละทางกับพรรคเพื่อไทย ลาออกจากประธานยุทธศาสตร์และสมาชิกพรรค มาก่อร่างสร้างพรรคใหม่ในนาม “สร้างไทย” ซึ่งเพิ่งได้รับการรับรองจาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อไม่นานมานี้
จริงอยู่ “สุดารัตน์” ออกจากพรรคเพื่อไทยในสภาพที่ชอกช้ำไม่น้อย หลังถูก “คุ่อาฆาต” รุมขย้ำจนทนพิษบาดแผลไม่ไหว แต่กับ “ทักษิณ” แล้วต้องถือว่ามีสัมพันธ์อันดีกันอยู่ และเข้าใจเหตุผลความจำเป็นที่ “เจ๊หน่อย” ต้องหันหลังออกมา
ดีเสียอีกที่ “เจ๊หน่อย” ที่ถือเป็นนัการเมืองระดับดาวฤกษ์ มีคะแนนิยทในตัวเองไม่น้อย ออกมาเปิดหน้าร้านใหม่ ที่ใครดูก็รู้ว่าเป็น “แฟรนไชส์” ในเครือทักษิณ
เข้าสูตร “แตกแบงก์พัน” เหมือนที่เคยคิดจะทำเมื่อการเลือกตั้ง 2562 แต่ไม่สำเร็จ
มาคราวนี้มีพรรคสร้างไทย ที่มีสตอรีเหมือนจะขัดเคืองกับ “ค่ายเพื่อไทย” แต่ในทางลึกแล้วต้องถือว่า เป็นพันธมิตรกันในทีอยู่แล้ว
เช่นเดียว “เสี่ยเอ” เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ที่เดินหน้าตั้งพรรคการเมืองใหม่ ภายใต้ชื่อ “พรรคเส้นทางใหม่”