“ณัฐวุฒิ” เล่าบทสนทนา “เพนกวิน” ในคุก รับ “คำตอบน้องทำให้ผมต้องคิดยาว”

“ณัฐวุฒิ” เปิดใจคืนสู่อิสรภาพ พร้อมเล่าบทสนทนา “เพนกวิน” ในคุก รับ “คำตอบทำผมต้องคิดยาว” หลังได้เห็น เรื่องราวยังยุ่งเหยิง วอนทุกฝ่ายหยุด”อาฆาตพยาบาท” ยืนยันจะอยู่เคียงข้าง และ ไม่ทอดทิ้งกัน

วันที่ 29 มี.ค.64 ครบกำหนดวันต้องโทษของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) โดยได้ไปรายงานตัว และเข้าอบรมธรรมะอีกครั้ง หลังถอดกำไลอีเอ็ม เมื่อได้รับอิสรภาพคืนมาโดยสมบูรณ์ วันรุ่งขึ้น จึงนัดหมายสื่อมวลชน ที่ UDD news – ยูดีดีนิวส์ ชั้นใต้ดิน อาคารเอเวอรี่มอลล์ แยกแคราย นนทบุรี ขอเปิดใจครั้งแรก วันคืนสู่อิสรภาพ

ช่วงหนึ่ง นายณัฐวุฒิ ได้เผยบทสนทนากับ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ในเรือนจำ ตอนหนึ่งว่า “ผมได้ถามเพนกวินในเรือนจำ พี่ได้ยินว่า น้องใช้คำปราศรัยของพวกพี่ ตะโกนชื่อพวกพี่อยู่หลายเวที น้องรู้จักพี่ได้ยังไง เพนกวินบอกว่า เขารู้จักผมตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ตั้งแต่ปี 2553 คำตอบของเขาสั้นๆ แต่ทำให้ผมคิดยาว เพราะปี 2553 ผมได้ร่วมต่อสู้ครั้งใหญ่ เพนกวินอายุ 11 ขวบ เหตุการณ์ครั้งนั้น ผ่านมา 10 ปีถึงปี 2563 เพนกวินเป็นแกนนำต่อสู้ มีคดีความติดคุกอยู่เวลานี้

“สิ่งที่ผมคิดยาว ถ้าเรื่องราวยังยุ่งเยิน ยังหาข้อยุติไม่ได้อีก 10 ปี ลูกชายผมจะอายุเท่าเพนกวินวันนี้ แล้วก็ไม่แน่ว่า อีก 10 ปีลูกชายผมต้องมาเจอสภาพแบบนี้ ไม่แน่ว่า คนที่จะต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดศาล พยายามให้ลูกต้องได้รับอิสรภาพ อาจจะไม่ใช้ แม่เพนกวิน แม่ไมค์ แม่รุ้ง แม่ไผ่ แต่อาจจะเป็นผม พ่อของด.ช.นปก ใสยเกื้อวันนี้ก็ได้

ผมถึงบอกว่า คนรุ่นเรานี่แหละที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้เด็กโตขึ้นมาแล้วรับผิดชอบความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะโต ก่อนที่เขาจะรู้ความด้วยซ้ำไป ถามหัวใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนว่า เรายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้หรือ เราจะเข้าคิวรอการเป็นพ่อแม่ที่ต้องวิ่งประกันตัวลูก ที่ต้องอกสั่นขวัญแขวน เมื่อเห็นลูกต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ผมว่า เรายอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้

ดังนั้น ไม่มีใครปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงได้ เราอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ โดยไม่ต้องทำร้ายกันและกัน กับคนหนุ่มคนสาว เมตตาเถอะครับ อย่าอาฆาต พยายามเถอะครับ อย่าพยาบาท และผมเชื่อว่า บ้านเมืองมันมีทางออก ขอส่งความปรารถนาดีๆไปถึงประชาชน คนหนุ่มสาว ไปยังเยาวชนที่ต่อสู้อยู่เวลานี้

จริงๆโดยวัยนับกันยาก แต่พวกเขาเรียกผมติดปากว่าพี่ แม้ว่าจะรู้จักเป็นการส่วนตัวน้อยคนมาก ที่ยังอยู่ข้างนอกไม่เคยรู้จักแม้แต่คนเดียว ที่อยู่ข้างในก็ไปรู้จักกันข้างในแทบจะทั้งหมด แต่อยากจะบอกว่า พี่เต้นยังอยู่ ตรงนี้ พี่เต้นเคียงข้างเสมอ เข้าใจและเห็นใจ และไม่คิดว่า จะทอดทิ้งกัน”