สหรัฐฯเตรียมคืนทับหลังไทย หลังทวงคืนนานนับปี รับเป็นของ”ถูกขโมย”

เว็บไซต์อินไซเดอร์ รายงานเมื่อ 12 ก.พ.64 ว่า สหรัฐอเมริกา ตกลงจะคืนทับหลัง 2 ชิ้น ที่ได้มาจากวัดแห่งในภาคอีสาน ให้กับประเทศไทย หลังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นทับหลังที่ขโมยไปและเก็บไว้ภายในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย นครซานฟรานซิสโก

ตามเอกสารของศาลระบุว่า มีจนท.สถานกงสุลไทย เดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย เมื่อช่วงปลายปี 2016 และพบทับหลังทั้ง 2 จัดแสดงอยู่ภายใน จึงได้ถามยังหน.ดูแลพิพิธภัณฑ์อาวุโส ว่า ทับหลังดังกล่าวได้มาอย่างไร ได้ความว่า ได้รับบริจาคมา

หลังจากนั้นอีก 1 ปี ในปี 2017 รมว.วัฒนธรรมของไทย ได้พบกับจนท.สหรัฐ ที่ประเทศไทย พร้อมกับจนท.จากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ โดยในการพูดคุย รมว.วัฒนธรรมของไทยแจ้งว่าพบทับหลังที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย ในซานฟรานซิสโกนั้น เป็นของวัดทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จึงขอให้สหรัฐส่งคืนทับหลังทั้ง 2 ให้กับทางการไทย

ตามเอกสารที่ยื่นเรื่องต่อศาล ระบุว่า ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามการเคลื่อนย้ายโบราณวัตถุออกจากประเทศ รวมทั้งทับหลัง ดังกล่าว การนำสิ่งของเหล่านี้ออกจากประเทศจึงถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

จากการสอบสวนพบว่า ทับหลังทั้ง 2 มีนักสะสมจากปารีส และลอนดอน บริจาคให้กับทางพิพิธภัณฑ์ และทางพิพิธภัณฑ์รับทราบแล้วว่า ทับหลังทั้งสองได้มาโดยผิดกฎหมาย และหลังการพิจารณาแล้ว ทางสหรัฐ ได้เตรียมที่จะส่งทับหลังทั้ง 2 คืนแก่ประเทศไทย

โดยทับหลังทั้งสอง คือทับหลังจากปราสาทเขาโล้น จ.สระแก้ว และทับหลังจากปราสาทหนองหงส์ จ.บุรีรัมย์

ขณะที่ สถานีโทรทัศน์ซีบีเอส และ นสพ.บิสซิเนส อินไซเดอร์ รายงานว่า พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย ในนครซานฟรานซิสโก เตรียมจัดส่งโบราณวัตถุ 2 ชิ้นคืนให้กับทางการไทย เพื่อแลกกับการยุติการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อพิพิธภัณฑ์จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งกำลังคาราคาซังอยู่ในเวลานี้

นายเดวิด แอล. แอนเดอร์สัน อัยการสหรัฐอเมริกา กล่าวแสดงความขอบคุณต่อ ทั้งทางการซานฟรานซิสโกและทางพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชียที่ยินยอมให้ยึดศิลปวัตถุเก่าแก่ทั้งสองชิ้นเพื่อจะได้จัดส่งคืนให้กับประเทศไทยต่อไป เพราะสหรัฐอเมริกา ยึดมั่นในพันธะที่จะจัดส่งมรดกทางศาสนาและวัฒนธรรมที่ถูกขโมยมาคืนให้กับบรรดาชาติที่เป็นเจ้าของเพื่อการดำรงรักษามรดกดังกล่าวไว้ต่อไป โดยพร้อมดำเนินการตามแนวทางที่เหมาะสม รวมทั้งการฟ้องร้องเพื่อริบทรัพย์จากพลเรือน เพื่อให้แน่ใจว่า ศิลปวัตถุเชิงวัฒนธรรมทั้งหลายจะกลับคืนสู่ผู้เป็นเจ้าของที่ถูกต้องต่อไป