นายกฯ ปลุกคนไทย ผนึกแรงใจเป็นหนึ่ง ต่อสู้โควิด-19 ด้วยความไม่ประมาท

นายกฯ เปิดอก สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ผ่านรายการ PM PODCAST ย้อนอดีตยุคปี 63 ไทยรับมืออย่างรัดกุม ด้วยความไม่ประมาท บันทึกทุกอย่างเป็นบทเรียน และผนึกแรงใจสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ผ่านสถานการณ์ร้ายมาด้วยดี

วันที่ 6 ก.พ.64 เวลา 08.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวในรายการ PM PODCAST นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง ทางเพจเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้า ว่า วันนี้ตนจะคุยเรื่องการบริหารจัดการกับการระบาดใหม่ของโควิด-19 ในประเทศของเรา เรื่องแนวทางการแก้ปัญหาการระบาดใหม่ของโควิด ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.63 ถึงปัจจุบัน การแพร่ระบาดของโควิด -19 ในครั้งนี้ ถือเป็นการระบาดใหม่ในประเทศที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับการระบาดในรอบแรก ซึ่งประเทศไทยเคยใช้เวลาในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้อยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ภายใน 2 เดือน ในช่วงมี.ค.และเม.ย.63 ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 101 วัน จนกระทั่งถึงเดือนพ.ค.-ก.ย.ไม่ปรากฏผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศเลย มี 9 จังหวัด คือกำแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง ที่ปลอดเชื้อตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ร่วมแรงของพวกเราทุกคนทุกภาคส่วนภายใต้มาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จนถึงทุกวันนี้ และเราเริ่มปรับตัวได้เป็นอย่างดีกับชีวิตวิถีใหม่

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนอยากให้พวกเราทุกคนร่วมตั้งข้อสังเกตร่วมกันว่า เมื่อปีที่แล้วด้วยความไม่ประมาท เจ็บแต่จบ เราเลือกการล็อกดาวน์ เพราะเราและชาวโลกต่างไม่รู้จักโรคระบาดนี้มาก่อน แต่เป็นการล็อกดาวน์ที่ค่อยเป็นและค่อยไปตามจังหวะและเวลาที่เหมาะสมกับการแพร่ระบาดทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ โดยคำนึงถึงความสมดุลเรื่องสุขภาพและปากท้อง และเราก็ประสบความสำเร็จ ในขณะที่หลายประเทศไม่กล้าปิดประเทศหรือตัดสินใจเมื่อสายไป สุดท้ายก็ต้องล็อกดาวน์อยู่ดี จนทำให้ไม่สามารถควบคุมโรคได้ จนถึงทุกวันนี้เกิดการระบาดระลอกที่ 2 และ 3 ซึ่งสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราก็ต้องดูต่างประเทศด้วย เราคนไทยมีคติภาษิตอยู่แล้วว่าเจ็บแล้วต้องจำ เราจะบันทึกทุกอย่างเป็นบทเรียนและสถิติ และเราจะต้องวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดการเรียนรู้ เชื่อมั่นว่ารู้จักกับการรับมือโรคนี้มากขึ้น และปรับใช้มาตรการต่างๆให้สอดคล้องกับการระบาด

โดยต้องตั้งอยู่บนหลักวิชาการและบริบทของประเทศไทย ซึ่งทุกประเทศมีความแตกต่างกันหมด ทั้งคน พื้นที่ ประชากร เช่น การที่เราจะปิดสถานประกอบการใดต้องพิจารณาจากตัวเลขสถิติที่จะสะท้อนการแพร่ระบาดของโรค ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. พบว่าการแพร่ระบาดร้อยละ 40 มาจากชุมชน ตลาด ร้อยละ 4 มาจากสถานบันเทิง ร้อยละ 3 มาจากบ่อนการพนัน ในขณะที่ร้านอาหารมีตัวเลขไม่ถึงร้อยละ 1 โดยตัวเลขเหล่านี้จะสะท้อนออกมาเป็นข้อกำหมดและมาตรการของศบค.ในปัจจุบันทั้งสิ้น หลายคนอาจจะกล่าวอ้างว่าปิดตลาดแต่ไม่ปิดห้างสรรพสินค้าเอื้อเจ้าสัว ไม่เป็นความจริง เป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไร้ตรรกะ ไร้ข้อมูลโดยสิ้นเชิง

“บ้านเมืองเราโชคดีมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองและประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ ทุกภาคส่วนสามัคคีกัน เช่นกรณีการระบาดหนักที่จังหวัดสมุทรสาครนั้น เจ้าหน้าที่ในจังหวัดทำงานหนักเท่าไหร่ก็ไม่พอ เสียสละกันเจ็บป่วยก็มี ซึ่งเราก็ได้รับกำลังเสริมมาจากทั่วประเทศ มีชุดสอบสวนโลกเกือบ 800 คนจาก 41 จังหวัด มีทีมเฝ้าระวังค้นหาตรวจเชิงรุกอีก 250 คนจาก 25 จังหวัด มีเครื่องไม้เครื่องมือที่รับพระราชทานมา ในส่วนของรัฐบาลและส่วนของกระทรวงสาธารณสุขก็มี เครื่องมือ การทำงานแบบไทยๆเช่นนี้ถือว่าเป็นจุดแข็งของคนไทย เมื่อมีภัยเราก็ร่วมมือกันไม่ควรทิ้งใคร หรือคนไทยด้วยกันจะมาดูแคลนคนไทย ดูแคลนบ้านเกิดเมืองนอนของตน ส่วนใครที่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนและสื่อสารออกไปไม่ตรงกับความเป็นจริง ผมเชื่อว่าในสิ่งเหล่านี้จะทำให้ท่านหันมาร่วมมือกับพวกเราและคนส่วนใหญ่ของประเทศ”พล.อ.ประยุทธ์ระบุ