พรรคก้าวไกล ออกแถลงการณ์ ตั้งข้อสงสัย นายกฯ ไม่มีความจริงใจ แก้ปัญหาประเทศ แต่ยังสร้างความแตกแยก อ้างตร.ถูก ตีศรีษะ มาตอกย้ำ จี้หมดเวลาแล้ว ต้องยกเลิก พรก.ฉุกเฉินฯ และ ลาออกทันทีเท่านั้น
22 ตุลาคม 2563 เพจเฟซบุ๊ก พรรคก้าวไกล – Move Forward Party โพสต์ข้อความตั้งข้อสงสัยว่า “จะถอยคนละก้าวได้อย่างไร ในเมื่อ ‘ประยุทธ์’ ไม่ได้เริ่มต้นจากพูดความจริง” เนื้อหาทั้งหมดดังนี้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ถึงสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานี้ โดยมีสาระสำคัญยืนยัน ‘ไม่ลาออก’ ตามข้อเรียกร้องของประชาชน พร้อมเรียกร้องให้ถอยคนละก้าว สละความรู้สึกส่วนตัวและความต้องการส่วนตัวบางอย่าง เพื่ออนาคตที่ดีของประเทศ นอกจากนี้ ยังได้ระบุว่า กำลังเตรียมการยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง เรียกร้องให้เคารพกฎหมาย และใช้รัฐสภาเป็นทางออกในการพูดคุย
อย่างไรก็ตาม นอกจากการอ้างถึงการเตรียมการยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง ที่ดูเหมือนมีเจตนาให้สถานการณ์ดูผ่อนคลายลง รายละเอียดในหลายตอนกลับดูไม่เป็นไปในทิศทางนั้น แถลงการณ์ยังได้อ้างอิงถึง เหตุการณ์การสลายการชุมนุมในคืนวันศุกร์ที่ 16 ตุลา ที่ผ่านมา โดยระบุว่า
“ได้เห็นการกระทำที่น่าหดหู่ใจอย่างมากที่เกิดขึ้นกับตำรวจ มีการทุบตีทำร้ายตำรวจด้วยคีมเหล็กขนาดใหญ่ และพฤติกรรมรุนแรงอีกหลายอย่างต่อเจ้าหน้าที่ เป็นการตั้งใจทำร้ายคนไทยด้วยกัน เราจะไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการใช้คีมเหล็กขนาดใหญ่ตีใส่กัน หรือด้วยการทำลายเศรษฐกิจการหาเลี้ยงปากท้องของคนไทยด้วยกัน หรือด้วยการโจมตีสถาบันอันเป็นที่รักและเคารพยิ่งของคนไทย รัฐบาลพยายามผ่อนปรน หลีกเลี่ยง มีการประกาศให้ทราบก่อนทุกครั้ง ตามมาตรฐานสากล”
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังระบุด้วยว่า จะเป็นคนที่เริ่มก้าวแรกเพื่อที่จะลดอุณหภูมิความรุนแรง โดยกำลังเตรียมที่จะยกเลิก พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ‘ยกเว้น’ หากมีสถานการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น โดยเรียกร้องให้ผู้ประท้วง แสดงความจริงใจโดยการเคารพกฏหมาย เคารพระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ลดระดับเสียงของการสาดถ้อยคำที่สร้างความแตกแยกและเกลียดชังในสังคม สร้างความเจ็บปวดให้กับคนในสังคม
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการถอยที่ระบุว่า เตรียมพร้อมยกเลิก พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง พวกเราเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีคำยกเว้นใดๆ แต่ต้องยกเลิกทันที เนื่องจากการชุมนุมถือเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบัน การชุมนุมล้วนเป็นไปด้วยความสงบ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกลับมาจากความพยายามกั้นขวางการแสดงออกของประชาชน ไม่ว่าการสลายการชุมนุมในหลายครั้งหรือการกั้นขวางขบวนของประชาชน
คำว่า ‘ยกเว้น’ หากมีสถานการณ์รุนแรงใดๆเกิดขึ้น ของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ขบวนราษฎรซึ่งรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิกำลังเคลื่อนไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องการลาออกและแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดยสงบ แต่กลับมีการนำแนวลวดหนาม ตั้งแบริเออร์ และเจ้าหน้าที่ชุดปราบจรจลมากั้นขวาง เพื่อให้เกิดการปะทะ เหล่านี้จึงต้องถามกลับไปว่าความจริงใจต่อแถลงการณ์ดังกล่าวนี้มีมากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ เนื้อความในแถลงการณ์ยังเต็มไปด้วยถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน เช่น การโดยการป้ายสีว่ามีการโจมตีสถาบัน ซึ่งผิดไปจากข้อเท็จจริงโดยเฉพาะข้อเสนอต่างๆของนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ที่ออกมาชุมนุมล้วนอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังอ้างว่าการสลายการชุมนุมเป็นไปตามมาตรฐานสากลและได้เห็นการกระทำที่น่าหดหู่ใจอย่างมากที่เกิดขึ้นกับตำรวจโดยอ้างถึงภาพกรณีการทำร้ายตำรวจด้วยคีมเหล็กขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการนำภาพที่ถูกผลิตซ้ำเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดมาแถลงอย่างเป็นทางการ จึงยิ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม หากไม่มีเจตนาก็ถือเป็นความสะเพร่าอย่างร้ายแรง
ในประเด็นนี้ได้มีบันทึกจากสื่อมวลชนที่อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า ภาพบุคคลถือคีมตัดเหล็กตีตำรวจมาจากการที่ประชาชนคนหนึ่งเข้าไปช่วยยกรั้วเหล็กที่ รปภ.ให้มาทำรั้วกั้นตอนตำรวจจลาจลตั้งแนวเดินมาและฉีดน้ำรอบแรกแต่ได้ติดล็อคไว้ รปภ.ห้างจึงเอาคีมใหญ่มาให้ตัด ระหว่างนั้นมีขอเจรจาหรือชะลอเวลาเพื่อให้มวลชนถอย เพราะเด็กกับผู้หญิงเยอะ มวลชนกำลังถอยไปทางจุฬา ห่างจากแนวตำรวจจลาจลประมาณ 200 เมตร บุคคลที่ถือคีมเหล็กเป็นหนึ่งในคนที่เข้าไปตะโกนเพื่อขอเจรจากับตำรวจ แต่กลับถูกตำรวจฉีดน้ำผสมสารเคมีเป็นคำตอบ จึงมีการเอาคีมไปทุบใส่โล่ จากนั้นจึงมีความพยายามตะโกนช่วยกันห้ามปราม เหล่านี้จึงไม่ใช่การมุ่งสร้างความรุนแรงอย่างที่มีความพยายามนำไปบิดเบือนจากผู้ที่หวังให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งคงต้องถามว่านี่เป็นเจตนาของบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่
แม้ว่าเป็นเรื่องดีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวถึงการหาทางออกให้สังคมไทยและการถอยคนละก้าว แต่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากการถอยนั้นไม่สะท้อนถึงความจริงใจและเต็มไปด้วยคำโกหกป้ายสีประชาชนเช่นนี้
พวกเรายังคงเรียกร้องในจุดเดิม นั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่มีเงื่อนไข และปล่อยประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยทันที ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และเร่งให้เกิดการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีสาระสำคัญ คือ การตั้ง สสร. ที่มาจากประชาชน
นอกจากนี้ พวกเรายังขอเรียกร้องให้รัฐบาลต้องมีความจริงใจและจริงจังที่จะไม่หยิบยกเอาประเด็นในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ มาใช้สร้างสถานการณ์ ยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดความเกลียดชังในหมู่ประชาชน เพื่อนำมาใช้เป็นเหตุในการต่อการใช้กฎหมายพิเศษและก่อความรุนแรงต่อประชาชน