ปัจจัย สำคัญ ทำให้ “กองทัพ” ขยับ คือ “สถาบัน” และนี่ คือ สัญญาณ อันตราย ที่ส่อให้เห็น ต่อการชุมนุมของ ฝูงชนที่กำลังเคลื่อนไหวอย่าง เข้มข้น โดยเฉพาะ กรณีที่ “บิ๊กบี้” ออกมาระบุว่า พฤติกรรมดังกล่าวคือ “สิ่งอัปมงคล”
“บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เรียกการชุมนุมของ ‘กลุ่มคณะราษฎร 63’ ที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันที่ 13 ต.ค. และการกระทำต่อขบวนเสด็จฯ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. คือ ‘สิ่งอัปมงคล’
‘เงื่อนไข’เดียว ที่ทำให้เกิด ‘รัฐประหาร’ คงหนีไม่พ้น ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร เพื่อควบคุมการชุมนุมกลุ่ม ‘คณะราษฎร 63’ ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ แม้ ‘แกนนำ-แนวร่วม’ ทยอยถูกจับกุมไปแล้วก็ตาม
เพราะหนึ่งในสามข้อเรียกร้องของกลุ่ม ‘คณะราษฎร 63’ มีประเด็นการปฏิรูป ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ ที่เปรียบเสมือน ‘หัวใจ’ สำคัญของคนทั้งประเทศ กำลังกลายเป็น’ฉนวน’นำไปสู่ความขัดแย้ง และการกระทบกระทั้งดังภาพที่ปรากฎตั้งแต่วันที่ 13-15 ตุลาคม ที่ผ่านมา
การดึง ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’มายึดโยงกับ ‘การเมือง’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตก็เคยปรากฎแต่ไม่เด่นชัดเหมือนเช่นปัจจุบัน ที่ทำให้เห็นถึงความแปรปรวน ความรุนแรง ในบางลักษณะด้วยการใช้คำพูด หรือแนวคิดบางอย่าง ซึ่งเป็นปัจจัยผกผัน เพราะในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหว แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย
ตั้งแต่เหตุการณ์ช่วงบ่ายวันที่ 13 ตุลาคม กลุ่ม ‘คณะราษฎร 63’ บางส่วนเริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนอีกส่วน ที่กำลังรำลึกถึง วันคล้ายวันสวรรคตของ ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9′ หรือพฤติกรรมของผู้ชุมนุมที่กระทำต่อขบวนเสด็จฯ บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ
ปรากฎการณ์ดังกล่าว ทำเห็นความเคลื่อนไหวของประชาชน และอดีตแกนนำทางการเมือง ที่มีจุดยืนสวนทางกับ’คณะราษฎร 63′ ทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. และในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) กลุ่มไทยภักดี นำโดยหมอวรงค์ เดชกิจวิกร , พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ และ อดีตพระพุทธะอิสระ หรือ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ
นอกจากนี้ การกระทำ’คณะราษฎร 63’ ที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 -14 ต.ค. ทำให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)ที่ยังดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) ทำหน้าที่ ถวายพระเกียรติ ถวายความปลอดภัย ปกป้อง ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ ออกอาการ ‘หัวฟัด หัวเหวี่ยง’ เรียกพฤติกรรมดังกล่าวว่า ‘สิ่งอัปมงคล’
‘พล.อ.ณรงค์พันธ์’ เฝ้าติดตามสถานการณ์ชุมนุม’คณะราษฎร 63′ อย่างเงียบๆ ที่กองบัญชาการกองทัพบกทุกวัน ยกเว้น วันที่ 14 ต.ค. อยู่เกาะติดจนกระทั้งมีการประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปสลายการชุมนุม ก่อนจะกลับออกไปเช้ามืดวันที่ 15 ต.ค.
ในขณะเดียวกันก็ใช้ ‘กองทัพภาคที่ 1’ เป็นศูนย์เรียกระดมทหาร ตามคำสั่งคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 36/2563 เรื่องแต่งตั้งผู้กำกับปฏิบัติงาน หัวหน้ารับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยให้ทหารปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
สถานการณ์ขณะนี้ เรียกได้ว่าเดินมาครึ่งทางแล้ว หาก ‘รัฐบาล’ไม่สามารถควบคุมการชุมนุมไม่ให้เกิดการปะทะกันระหว่าง ‘คณะราษฎร 63’ และการชุมนุมฝ่ายต่อต้านที่กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ รวมถึงการสร้างสถานณ์มือที่สาม จนพัฒนาไปสู่เหตุจลาจล ‘กฎอัยการศึก’ คือ กฎหมายตัวสุดท้ายก่อนจะถึง ‘รัฐประหาร’
แม้หลายฝ่ายจะเห็นพ้องกันว่า ปัจจุบัน เงื่อนไขทำ ‘รัฐประหาร’ ยาก ซับซ้อน และมีผลกระทบสูงมาก เมื่อเทียบกับ ปี 2549 และ ปี 2557 แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ ‘กองทัพ’มีความชัดเจนมากเรื่อง ‘สถานบันพระมหากษัตริย์’ ที่มีความผูกพันธ์มาอย่างยาวนานและทรงเป็นถึง ‘องค์จอมทัพไทย’
และไม่เพียงแต่ ‘พล.อ.ณรงค์พันธ์’ เท่านั้นที่เป็นทหารในหน่วยเฉพาะกิจมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) หรือ ‘ทหารคอแดง’ ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญใน ‘กองทัพ’ แต่ยังมี พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) พล.อ.ธรรมนูญ วิถี ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.ท.เจริญชัย สินเธาว์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองเสธ ทบ.
โดยก่อนหน้านั้น ทั้ง ‘พล.อ.เฉลิมพล – พล.อ.ณรงค์พันธ์’ ออกมาให้ความเชื่อมั่นต่อประชาชนว่า สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติที่จะดึงประเทศไทยกลับไปสู่วงจร ‘รัฐประหาร’ และได้เห็นถึงความตั้งใจ ที่เลือกแนวทางอื่น เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่สร้าง ‘เงื่อนไข’
แต่วันนี้ ‘เงื่อนไข’ การเกิด ‘รัฐประหาร’ เด่นชัดทุกครั้งในที่ชุมนุม ‘คณะราษฎร 63’ ที่อาศัยสิทธิเสรีภาพเรียกร้อง ปฏิรูป ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ ผ่านคำพูด การกระทำ ที่ก้าวล่วงไปถึงขั้นหมิ่นประมาท หรืออาจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ต้องจับตาต่อไปว่า ‘กองทัพ’ จะเคลื่อนไหวอย่างไร เพื่อพิทักษ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัติย์ และประชาชน ภายใต้กฎที่ว่า ฝ่ายไหนใช้ความรุนแรงก่อน ฝ่ายนั้นแพ้