“จตุพร”เตือน”รัฐประหาร”ไม่เคยมี ครั้งสุดท้าย ชี้ ปี 63″ยึดอำนาจ”ไม่ง่าย

ประธาน นปช.เตือนอย่าประมาท รปห. จะไม่เกิดอีก บอกให้คิดเผื่อใจไว้บ้างก็ดี ย้ำยึดอำนาจไทยไม่เคยมีครั้งสุดท้าย ชี้สถานการณ์ปี 63 ไม่เหมือนปี 57 การยึดอำนาจไม่ง่ายเหมือนเก่า หวั่นฉากจบจะเป็นอย่างไร แบบไหน

วันที่ 31 ส.ค. 63 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ระบุว่า ในสถานการณ์ของประเทศขณะนี้อย่ามั่นใจจะไม่มีรัฐประหาร พร้อมเตือนให้คิดเผื่อใจไว้บ้างก็ดี “ท่ามกลางข่าวรัฐประหาร แม้มีคนเชื่อและไม่มีคนเชื่อถือ แต่สำหรับประเทศไทยการรัฐประหารไม่เคยมีขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย จึงขอให้เผื่อใจไว้บ้างว่า รัฐประหารเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา บางคนบอกว่า การรัฐประหารจะไม่มีการรับรอง จึงทำไม่สำเร็จ แต่ผมเชื่อว่า รัฐประหารในอนาคต จะไม่มีการรับรอง”

นายจตุพร กล่าวถึงท่าทีของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ว่า จะมีเวลาถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้ จึง เหลือเวลาอีก 30 วันจะเกษียญอายุราชการ บางคนประเมินคงจะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้น แต่ในประเทศไทยแล้ว แค่เหลือเวลาอีกวันเดียวก็ยังรับประกันไม่ได้ว่า จะไม่มีการรัฐประหารขึ้น จึงสะท้อนถึงการรัฐประหารในไทยเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่มีอะไรมารับรองได้ อีกทั้ง ตนบอกต่อไปการรัฐประหารจะไม่มีการรับรองนั้น ในสมัย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็น ผบ.ทบ.ทำการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 ก็ไม่มีการรับรอง อีกทั้งองค์กรอิสระทั้ง ศาล รธน. และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง แต่ศาลตัดสินว่า หัวหน้ารัฐประหารเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์ ดังนั้น การรับรองหรือไม่ก็ตาม แต่ได้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติกันมาตลอดแล้ว

อีกอย่าง การยึดอำนาจในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีลักษณะแตกต่างกัน เมื่อปี 2549 ฝ่ายยึดอำนาจไม่พร้อม แต่ฝ่ายถูกยึดกลไกรัฐกลับไม่พร้อมมากกว่า จนถูกยึดอำนาจสำเร็จ ส่วนการยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 แม้ตนได้กลิ่นมานาน จนขึ้นป้ายชุมนุมว่า ต้านรัฐประหาร ซึ่งไม่มีใครเชื่อ แต่เมื่อเกิดม็อบ กปปส.ชุมนุมยาวนาน ประกอบกับรัฐบาลไม่สามารถกุมสภาพได้แล้ว ในช่วงปลายรัฐบาล นปช.ตัดสินใจพามวลชนเสื้อแดงไปชุมนุมถนนอักษะ เพียงแค่หวังจะยุติการยึดอำนาจ แล้วสุดท้ายต้องเปิดการเจรจา ทั้งที่รู้ว่า ผลจะเกิดอะไรขึ้น เพราะถูกปิดล้อมไว้หมด แล้วก็เกิดยึดอำนาจตามมาจนได้

ในสถานการณ์ขณะนี้ คสช.เป็นพวกพันธุ์พิเศษ ยอมงอในเรื่องที่ยอมงอ กรณีชะลอซื้อเรือดำน้ำชัดเจนมากเมื่อจีนยอมตามการเจรจา แต่ปัญหาที่ต้องตามคือ เงินตั้งไว้ในปีงบประมาณ 2564 จะเอาไปทำอะไรต่อ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องหลายเรื่องประเดประดังเข้าใส่รัฐบาลต่อเนื่อง เช่น คดีเหมืองทองคำอัครา เป็นต้น ดังนั้นสถานการณ์ขณะนี้จึงไว้ใจอะไรไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ การยึดอำนาจจะไม่ง่ายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งรู้ตัวอีกฝ่ายหมดตามจับกุมได้ แต่สถานการณ์ปี 2557 กับปี 2563 แตกต่างกัน เนื่องจากไม่รู้ว่าสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อยู่ตรงไหนอย่างไร รวมทั้งปรากฎการณ์นักเรียน นักศึกษาเคลื่อนไหว นัดประชุมจัดกิจกรรมชุมนุมกันก็หารือทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งไปไกลกันมาก ถ้าบอกล้อมปราบ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ตนเชื่อว่า การยึดอำนาจแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างกันไป

“ในสถานการณ์นี้ เผื่อใจไว้บ้างก็ดีว่า รัฐประหารเกิดขึ้นได้ตลอดเวลากับประเทศไทย ถ้าว่าโลกประชาธิปไตยไม่ยอมรับ แต่สุดท้ายเป็นไง พูดแบบลมๆแล้งๆทั้งนั้น เมื่อถึงเวลาต้องเอาประโยชน์ โลกก็เอาประโยชน์ อย่าหวังพึ่งโลกประชาธิปไตยว่าจะไม่ยอมรับเลย วันนี้ สิ่งที่ต้องคิดคือ ความหายนะจะเกิดขึ้นรุนแรงขนาดไหน ประเทศจะย่ำแย่กว่าเดิมขนาดไหน”

นายจตุพร ยืนยันว่า ตนมีความรักษาชาติบ้านเมืองเหมือนเดิม พร้อมทั้งเป็นคนไม่บ้าตามใครเมื่อถูกยุยง เพราะต้องคิดให้ละเอียดมากกว่าเดิม ต้องรอบคอบ และทำหน้าที่ช่วยประคับประคองสถานการณ์ ว่าจะจบลงแบบไหน เพราะแต่ละฝ่ายก็คิดถึงการจบลง

“ภายใต้สถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ จึงต้องคิดรอบคอบที่สุด ซึ่งไม่ใช่การหวาดกลัว เพราะตามประวัติการต่อสู้กว่า 10 ปีที่ผ่านมา คนเสื้อแดงตายมาก ติดคุกมาก บาดเจ็บนับไม่ถ้วน ดังนั้นบนเส้นทางการต่อสู้จึงต้องคิดอย่างละเอียด เมื่อคนหนุ่มสาวชุมนุมก็ว่ากันเต็มที่ คิดและตัดสินใจอย่างไรผมเคารพ ไม่คิดแทรกแซง และจะทำหน้าที่ทักทวงอย่างมิตร เพราะการต่อสู้อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง จะทำให้ประเมินสถานการณ์ผิด ผมเป็นกำลังให้คนหนุ่มสาวเสมอ ข้อท้วงติงได้แสดงจุดอ่อนจุดแข็งมาหลายรอบ เราเหมือนคัดท้ายทำหน้าที่ตรงไปตรงมาอย่างเสมอ”

นายจตุพร ย้ำว่า ในสถานการณ์ช่วงนี้ ตนคิดละเอียดทุกกรณี เนื่องจากการรับผิดชอบในขบวนการต่อสู้นั้นต้องแสดงให้เห็นอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะฝ่ายนักการเมืองเชื่ออย่างไรต้องร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ หมายความว่า เมื่อยุยงแล้วแต่ไม่ร่วมรับผิดชอบ ตนเห็นว่าใช้ไม่ได้
“ผมเคยอธิบายว่า เชื่ออย่างไรต้องร่วมเคียงบ่ากัน และผมมีเวลาของผมอยู่ คนที่ไม่เคยมีบทบาทการนำในท้องถนนต้องมีโอกาสทำหน้าที่นี้บ้าง ส่วนผมไม่ไปไหน ผมรอเวลาของผม ส่วนเวลาของคุณต้องแสดงความรับผิดชอบเช่นเดียวกัน”