ครม. ปลดล็อก “กัญชา” ครอบครองได้เสรี เพื่อการแพทย์

ครม.เดินหน้าปลดล็อกกัญชาเสรี ขยายวงให้ผู้ป่วย หมอพื้นบ้าน แพทย์แผนไทย เกษตรกร ที่ได้รับอนุญาตผลิตสมุนไพร สามารถผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือ มีกัญชาไว้ในครอบครองได้

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่..)พ.ศ. …. ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่งเป็นการแก้ไขกฎหมายฉบับเดิมที่ใช้เมื่อปี 2562 โดย ฉบับใหม่ที่แก้ไขนี้มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้ป่วย ที่ได้รับการรับรองจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์

หรือ หมอชาวบ้าน ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตด้านเกษตรกรรมและเกษตรกรที่ดำเนินการผลิตภายใต้ความร่วมมือกับผู้รับอนุญาตผลิต ซึ่งยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร และ บุคคลอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบ ของ คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษกำหนด สามารถได้รับใบอนุญาตให้ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือ มีไว้ในครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 หรือ กัญชาได้ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชนที่ต้องการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค และ ปัญหาการพัฒนาองค์ความรู้และต่อยอดกัญชาทางการแพทย์

ทั้งนี้กฎหมายเดิม ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการปลดล็อกกัญชานั้น กำหนดให้เฉพาะหน่วยงานของรัฐ หรือ ผู้ขออนุญาต ที่ต้องดำเนินการร่วมกับหน่วยงานของรัฐเท่านั้น จึงจะสามารถขออนุญาตผลิต นำเข้า หรือส่งออกได้ ส่งผลให้การพัฒนาองค์ความรู้และการต่อยอดกัญชาทางการแพทย์อยู่ในวงจำกัด ขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และ หมอพื้นบ้าน ไม่สามารถขออนุญาตปลูกกัญชาเพื่อนำมาปรุงยาตำรับที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมสำหรับคนไข้ได้ โดย กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ไปเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2563 ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันในกฎหมายฉบับนี้ ยังกำหนดเกี่ยวกับกระบวนการเก็บรักษา และ ทำลายยาเสพติดให้โทษของกลาง โดยกำหนดให้ กรณีที่มีการยึด หรือ ริบยาเสพติดให้โทษ เมื่อได้มีการตรวจชนิดและปริมาณแล้วว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ ให้กระทรวงสาธารณสุข หรือ ผู้ที่กระทรวงสาธารณสุขมอบหมาย สามารถทำลาย หรือ นำยาเสพติดดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้ ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาการเก็บรักษายาเสพติดของกลางไว้เป็นเวลานาน ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณและสถานที่เก็บรักษา ทั้งนี้หลังจากครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป