ดาหน้า! สับแหลก”กกต.-ศาลรธน.” วิปลาส รับใช้ นักการเมือง

เวทีเสวนา สาธารณะ “องค์กรอิสระไทย อย่างไรต่อดี” รุมสับแหลก กกต และ องค์กริสระ ไร้สติ วิปลาส ตัดสินคดีความด้วยผลประโยชน์ ถูก นักการเมืองใช้เป็นเครื่องมือ สืบต่ออำนาจ ยกตัวอย่าง การเลือกตั้งซ่อม เมืองลำปาง จนป่านนี้ ยังไม่กล้า รับรอง

วันที่ 18 ก.ค.63 ที่ ห้องประชุมวิวัฒนไชย อาคารไทยซัมมิท เพจ New Consensus Thailand จัดเวทีเสวนาสาธารณะ ตอน องค์กรอิสระไทย อย่างไรต่อดี ? : คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยมีวิทยากร ได้แก่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อดีตคณบดีพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และประธานคณะก้าวหน้า

นายธนาธร กล่าวว่า ประสบการณ์ส่วนตัวที่ทำพรรคอนาคตใหม่ เราได้เห็นความผิดปกติหลายอย่างของ กกต. แต่ที่ขอยกมาคือกรณี การนับคะแนนใหม่ของเขต 1 จ.นครปฐม ซึ่งเราร้องเรียนไปยัง กกต.ให้มีการนับคะแนนใหม่ แล้วการนับคะแนนใหม่เกิดขึ้นภายใน 1 เดือน ผลการนับใหม่คือการมีบัตรเพิ่มขึ้น 25 ใบ แล้วคะแนนก็เปลี่ยนไป แต่ไม่มี กกต.รับผิดชอบ หรือ ตอบคำถามในกรณีนี้ อีกทั้งเรื่องการประกาศผล ถ้าย้อนกลับไปเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 ประกาศผลอย่างเป็นทางการในอีก 2 วันทันที แต่การเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 ที่ กกต.ประกาศผลทางการใช้เวลาถึง 45 วัน ในประเทศสมัยใหม่ไม่มีที่ไหนใช้เวลาประกาศเป็นเดือน

กกต.มีหน้าที่กำหนดข้อกฎหมาย จัดเลือกตั้งที่สุจริต แต่ปัจจุบันยังตรวจสอบคัดค้านอะไรไม่ได้เลย เราทราบกันดีว่า กกต.ชุดปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งมาจาก สนช. ซึ่งมาจาก คสช. ทำให้ กกต.ที่เลือกข้างทางการเมือง ไม่ยึดโยงกับประชาชน จนนำมาสู่การเลือกตั้งที่มีข้อกังขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. 2562 ทำให้เห็นถึงความล้มเหลวของความเป็นกลาง การธำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง

นายธนาธร กล่าวด้วยว่า ความวิปลาสหลายอย่างเกิดขึ้นทั้งใน กกต. ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งความวิปลาสนี้ เป็นอาการไม่ใช่เป็นโรค แต่ต้นตอของเชื้อโรค คือ การอยากสืบทอดอำนาจ พวกเขาฝืนกระแสที่จะให้มีการเลือกตั้งจากสังคมไม่ได้ จึงได้ร่างรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วเลือกตั้งให้ได้เสื้อคลุมมา รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นการเขียนเพื่ออภิสิทธิ์ชน รับประกันว่าพวกเขาจะสืบทอดอำนาจต่อได้ โดยที่ประชาชนไม่มีสิทธิไม่มีเสียงแย่งชิงอำนาจ ทำให้ ส.ส.ในสภาที่มาจาการเลือกตั้งถูกทับด้วยเสียง ส.ว. 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้ง คสช. ดังนั้น ในวันนี้ถ้าไม่มีฉันทามติ ประเทศเดินหน้าไปไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถหารัฐธรรมนูญที่ตรงกัน เราจะไม่เดินหน้าได้

ขณะที่ นายนิพิฎฐ์ กล่าวว่า ในยุคนี้ถ้าจะเป็นแค่ประชาธิปไตยจะไปไม่รอด ต้องมีอะไรมานำหน้าประชาธิปไตย จึงเกิดเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย เพื่อไปตรวจสอบถ่วงดุลการบริหาร จึงต้องมีองค์กรอิสระเข้ามา ตนเห็นการใช้อำนาจของ กกต.ในทุกยุค คือในปัจจุบันเหมือนคนชั่วมาเจอกับคนเลว ระยะหลังๆ มา กกต.คิดว่าตนเองมีอำนาจแล้วอยู่เหนือการตรวจสอบ ใช้อำนาจตามอำเภอใจ เราไม่เห็นนักการเมืองคนไหนลุกขึ้นสู้ กกต. เพราะนักการเมืองเองก็สีเทาเลยไม่กล้า กกต.เลยใช้อำนาจได้ตามใจ ส่วนในการทำงาน กกต.มักมองสถิติคนไปใช้สิทธิเลือกตั้งให้มากที่สุด ซึ่งมันผิดเป้าหมายการทำงานขององค์กร ที่ควรต้องตั้งเป้าจับทุจริตให้มากที่สุด

วันนี้ตนมอง กกต.มีความไม่เป็นมืออาชีพ ไม่มีมาตรฐาน เมื่อ กกต. คุณสมบัติมหาเทพ ไม่เคยทำเรื่องการเลือกตั้ง รังเกียจการเมือง แต่มาทำงานการเลือกตั้งแบบนี้ผิด รวมถึงการทำงานขององค์กรอิสระและศาลผิดพลาดทุกองค์กร ที่ตั้งหลักสูตรพิเศษขึ้นมา ทำให้ผู้พิพากษามานั่งคุยกับนักการเมือง ถ้าทำแบบนี้ระวังจะติดเชื้อจากนักการเมือง คือเชื้อความโลภ และความคุ้นเคยจะทำให้ไม่เกิดความเป็นกลางได้

ด้าน นายพิชาย กล่าวว่า ก่อนนี้การเลือกตั้งกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้จัด หลังจากนั้นสังคมไทยก็มีการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง แล้วเกิดการซื้อเสียงมากขึ้น กระทรวงมหาดไทยไม่สามารถกำจัดการซื้อเสียงได้ จากนั้นสังคมต้องการให้มี กกต.ขึ้นมา เพื่อให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม พอมี กกต.เกิดขึ้นในช่วงปฏิรูป เราจึงได้ กกต.ที่มีความเหมาะสม การทำงานชุดนั้นนักการเมืองกลัว นั่นเป็นการทุ่มเทให้การเลือกตั้งปลอดทุจริต

กกต.เป็นองค์กรที่สังคมคาดหวังว่าจะสร้างความสุจริตในการเลือกตั้ง แต่ต่อมา กกต.กลายเป็นระบบราชการอย่างเต็มตัว ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ 1.การทำงานไม่บรรลุพันธกิจ คือมีการทุจริตเพิ่มขึ้น ซับซ้อนขึ้น กกต.ตามไม่ทัน ส.ส.วิถีเก่าเต็มสภา 2.ไม่มีวิสัยทัศน์ หมกมุ่นเลือกตั้งเรียบร้อย คนใช้สิทธิเยอะ ไม่มีนัยยะปฏิรูปการเมือง 3.ปัญหาธรรมาภิบาล เป็นรูปธรรมเยอะแยะ ทั้งกรณีโต๊ะจีน การประกาศผลเลือกตั้ง 4.ปัญหาการทำงานร่วมกับภาคประชาชน เริ่มกีดกันภาคประชาชนเข้าร่วมตรวจสอบ

นายพิชาย กล่าวอีกว่า ปฐมเหตุเรื่องความผิดพลาด การคิดเชิงกรอบ คิดออกแบบเชิงสถาบัน ไม่ใช่เฉพาะ กกต. แต่องค์กรอื่นด้วย ซึ่งรัฐธรรมนูญออกแบบให้คนในระบบราชการมาก่อน การกำหนดแบบนี้สิ่งที่ตามมาคือ คนจำนวนมากที่เหมาะสมไม่มีโอกาสเข้ามาเป็นกรรมการองค์กรอิสระเลย ได้คนที่อาจจะมีตำแหน่ง แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ และเป็นการตัดภาคประชาชนออก ถือเป็นการออกแบบที่ผิดพลาด ถูกครอบงำด้วยข้าราชการเกษียณ เป็นอำนาจนิยม ระบบพวกพ้อง อุปถัมภ์ วิธีคิดมียุทธศาสตร์เชิงรับไม่ใช่เชิงรุก ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีคิดก็อย่าหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงองค์กรได้เลย

ถ้าจะแก้ปัญหา กกต.ระยะยาว ต้องไปแก้ในรัฐธรรมนูญ แก้ถึงองค์ประกอบคุณสมบัติ และคุณสมบัติการสรรหา ให้ขยายเป็นการมีส่วนร่วมให้ประชาชนร่วมด้วย ไม่ใช่เฉพาะนักวิชาการ ข้าราชการระดังสูง เพื่อคัดคนที่มีความเชี่ยวชาญ มีจิตใจที่ต้องการปฏิรูปการเมือง ส่วนจำนวนกรรมการจะ 5 หรือ 7 คนก็ต้องว่ากันเอง มีมากก็เปลืองเงินเดือนไปอีก

ส่วน นายสมชัย กล่าวเสนอถึงทางแก้ไขปัญหา กกต. ว่า ประชาชนต้องสร้างกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจด้วยตนเอง เพื่อให้ กกต.ทำให้ถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช่ทำด้วยความชอบของตัวเอง เห็นได้จากการเลือกตั้งซ่อมใน จ.ลำปาง ที่ผ่านไปเกือบเดือน ยังไม่กล้าประกาศผล ทั้งที่คะแนนห่างกันทิ้งขาด เพราะประชาชนโวย มีพลังในการตรวจสอบถ่วงดุล และมีกระแสข่าวแพร่สะพัด คนลำปางพูดกันว่าแนวโน้มน่าจะเป็นใบเหลือง แต่ตนมองว่าเรื่องนี้มันต้องมากกว่าใบเหลือง ส่วนระยะยาวต้องช่วยกันคิดแก้ไขกฎระเบียบ รัฐธรรมนูญ ในวันนี้สิ่งที่เขาร่างมากำลังทำร้ายตัวเขาเอง วันนี้ตนขอยุเลยว่า ใครอยากได้ตำแหน่งรัฐมนตรีท้าให้ต่อรองเลย เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ไม่กล้ายุบสภาแน่ ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญ อย่าแก้บนผลประโยชน์ใคร ขอให้แก้บนผลประโยชน์ประชาชน และขอให้ กกต. ถ้าติดหนี้บุญคุณใครขอให้ลืม เพราะถ้าโดนลงโทษติดคุก คนส่งเสริมไม่มาติดคุกด้วย