ประธาน นปช.เปิดความรู้สึกในใจของคนยืนหัวแถว ชี้ถ้าเอา“สะใจ”นำ เกิดผลกระทบพี่น้องมากหลายที่เผชิญชะตากรรม หวัง รอดพ้นคดีบุกบ้านสี่เสาฯ พ้นทุกข์ทั้งแกนนำ นปช.และ คนไทย
วันที่ 25 มิ.ย. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊คไลฟ์ PEACETALK โดยหวังว่า วันพรุ่งนี้( 26 มิ.ย.) จะเป็นวันดีๆของพี่-น้อง นปช.และคนไทยได้เริ่มผ่อนคลายกับความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจย่ำแย่สาหัส จึงได้แต่แค่หวังถึงวันพรุ่งนี้
นาจตุพร กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ แกนนำ นปช.ต้องไปฟังคำวิพากษาศาลฎีกาในคดีชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ซึ่งตนเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้เช่นกัน แต่อยู่ในคดีส่วนที่สอง ต้องรอลุ้นหลังจากคดีของพี่น้องชุดแรกยุติไปก่อน และพรุ่งนี้จะเป็นคำตอบ
อีกทั้ง กล่าวถึงความในใจว่า ในสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด กรมราชทัณฑ์มีมาตรการป้องกันโรคระบาด โดยให้เยี่ยมได้เดือนละครั้ง ซึ่งคนติดคุกจะมีความสุขเมื่อมีคนมาเยี่ยมให้กำลังใจ ส่วนความทุกข์ทั้งคนติดคุกและคนอยู่นอกคุกต่างมีความกังวลต่อกันและกัน
“การยืนหัวแถวคิดแค่ความสะใจแล้ว จะเป็นคนใช้ไม่ได้ ผมไม่ใช่คนอยู่เบื้องหลังแล้วไปยุให้คนอื่นทำตาม ผมยังมีพี่น้องหลายคนอยู่ในคุก ยังมีคดีอื่นๆรอตัดสิน พี่น้องตรากตรำต่อสู้บางคนล้มละลาย ถูกยึดบ้าน ครอบครัวเกิดปัญหา ดังนั้นการติดคุกกับว่าทีล้มละลายจึงเป็นสิ่งคู่กัน”
นายจตุพร กล่าวว่า การตรากตรำต่อสู้กันมานั้น พี่น้องหลายคนมีสภาพควบคุมสังขารร่างกายตัวเองได้น้อยมาก บางคนระบบภายในไม่เป็นปกติ บางคนเสียระบบประสาทการฟัง หลายคนมีสังขารอยู่ในสภาพย่ำแย่ตามกัน
“ที่เล่าให้ฟังถึงวันพรุ่งนี้ คือบางครั้งสิ่งที่เกิดกับตนเองจะรู้สึกน้อยกว่าเสมอ แต่ความรู้สึกที่เกิดกับคนอื่นแล้ว จิตใจจะพะวงมากกว่า จึงหวังว่า พรุ่งนี้พี่น้องแต่ละคนจะได้รอดพ้นจากชะตากรรมนี้”
ส่วนนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พูดเมื่อวานนี้ (24 มิ.ย.) ถึงปัญหาทีมเศรษฐกิจ ระบุถึงคนเก่าทำไม่ได้ ก็ไม่ควรอยู่ หากคนใหม่มายังทำไม่ได้ก็ไม่ควรมานั้น ตนเห็นว่าเป็นการพูดที่เข้าใจสภาพทางการเมืองที่เป็นจริงมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ทีมรัฐมนตรีที่เรียกว่า 4 กุมาร มีนายสมคิด เป็นหัวหน้าทีมนั้น ตนเห็นว่า มีความเสี่ยงที่จะพ้นรัฐมนตรีอย่างสูงมาก หากเดิมพันกันแล้ว ยากจะหาคนมาเดิมพันในมุมรองว่ายังอยู่รัฐมนตรีต่อ ทั้งนี้มีคาดกันว่า หลัง พรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 2564 ผ่านวาระแรกแล้ว จะมีการปรับ ครม.
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าจะปรับ ครม.แล้ว ควรปรับก่อนการเสนอร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 2564 เข้าสภา เพราะคนจะมาเป็นทีมเศรษฐกิจใหม่ชุดใหม่ต้องรับผิดชอบในการออกแบบวางแผนการแก้ปัญหา แต่กลับเอาคนที่กำลังจะไป มาเสนอร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 2564 แล้วให้คนใหม่มาทำ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่โอกาสพาบ้านเมืองรอดแทบจะไม่มี เพราะทุกอย่างไม่ได้ง่าย
“ทุกคนย้ำตรงกันว่าฟังโสรัจจะ นวลอยู่ โหรชื่อดังทำนายไว้ นั่นใช่เลย เป็นสภาพที่เป็นจริง แค่ผู้ว่าธนาคารชาติ ยังไม่ยอมต่ออายุทำงานในตำแหน่งของตัวเอง แล้วแบงก์ชาติต้องหาคนใหม่ ซึ่งอาจเป็นพวกนกรู้ก็ได้”
รวมทั้ง กล่าวว่า ตามภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ ทุกฝ่ายเชื่อเป็นเสียงเดียวกันว่า เศรษฐกิจของไทยไม่รอด เมื่อนายกรัฐมนตรีพยายามรวมไทยสร้างชาติ แม้มีความเป็นรูปธรรมบางส่วน แต่หากคนไทยต่างคิดต่างทำ ประเทศชาติต้องแพ้กันหมด ไม่มีใครชนะ เพราะในโลกความจริง มองหาทางรอดไม่เจอ
นายจตุพร ถามว่า แนวคิดรวมไทยสร้างชาติ ที่เป็นนามธรรมนั้น มีอะไรเป็นรูปธรรม และจะมาทันวิกฤตจะเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยนักเศรษฐกิจบางคนคาดว่า เดือนสิงหาคมปรากฎการณ์ “สภาพคาที่” ก็เกิดขึ้นแล้ว
ดังนั้น วันนี้ ตนยังมีความเชื่อว่า ไทยเป็นพึ่งแห่งไทย โดยต้องคิดข้ามทุกมิติ หากคิดเอาความสะใจไม่ยากเลย อีกทั้งคนตายจากโควิด 58 คน แต่ความหายนะทางเศรษฐกิจพังย่อยยับ ใน 2 ปียังฟื้นยากมาก เพราะทั้งโลกเผชิญหน้าวิกฤตเศรษฐกิจเช่นกัน ดังนั้น ใครจะเข้ามาเป็นทีมเศรษฐกิจ จะฟื้นฟูมันไม่ง่ายเลย
“ไม่ว่าคนเก่าหรือใหม่ ถ้ามีหลักคิดไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ก็พังกันทั้งคู่ จึงหวังว่าวันพรุ่งนี้ของคนไทยจะเกิดในสิ่งที่ดี เพื่อประเทศจะได้รอด”