หน้าแรก สุขภาพ ต้องสำเร็จ! วัคซีน ป้องกัน โคโรนา ไม่ขอยืมจมูก ใครหายใจอีก
จาก หนู สู่ ลิงแสม ทดลองวัคซีน ‘mRNA’ ความหวังไทยสู้โควิด คนอื่นมี ไทยเราก็ต้องมี เพราะว่า การค้นคว้า วิจัย เรื่องนี้เป็นสิ่งใหม่ที่ท้าทาย ต้องทำให้สำเร็จ เพื่อเราจะได้ ไม่ต้องยืมจมูกใครหายใจอีกต่อไป
“มนุษยชาติกำลังจะมีข่าวดีที่ต้องลุ้นต่อไป เนื่องจากการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 มีพัฒนาการค่อนข้างดีมาโดยตลอด จากการทดลองกับหนู สู่เข็มแรกที่ทดลองฉีดกับลิง หากได้ผลดีจะเริ่มใช้กับมนุษย์ต่อไป เป็นอีกก้าวสำคัญสู่ความหวัง ไม่เฉพาะประเทศไทย แต่ยังเป็นความหวังของคนทั้งโลก”
คือคำกล่าวของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เมื่อครั้งเยี่ยมชม การเตรียมการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ที่ ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
อันเป็น 1 ใน 5 โครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในหลายสถาบันของไทย จากการสนับสนุนทุนวิจัย โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (NVI)
07.39 น. วันที่ 23 พฤษภาคม คือช่วงเวลาที่ วัคซีนชนิด mRNA เข็มแรก ถูกฉีดเข้าไปยังกล้ามเนื้อขาหนีบของลิงแสม หลังทดลองกับหนูแล้วได้ผลดี และจากนี้ราวเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ ความหวังอันเลือนรางจะเห็นเป็นภาพชัดเจนขึ้น
ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผอ.สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เผยว่า ขณะนี้ มีการพัฒนาวัคซีนกว่า 200 แบบ แตกต่างกันที่ 1.เทคโนโลยีที่เลือกใช้ 2.บริเวณชิ้นส่วนที่เลือกใช้ 3.ตัวร่วมกระตุ้น ที่จะใช้ผสมร่วมกับวัคซีน
เดิมจะใช้ 1.เชื้อตัวตาย หรือ 2.เชื้อตัวเป็นอ่อนฤทธิ์ ซึ่งเป็นวิธีที่นักวิจัยคุ้นเคยกันดี แต่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาและการผลิตที่ยาวนานหลายปีกว่าจะมีปริมาณที่เพียงพอ สำหรับโควิด-19 ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จึงใช้วิธีที่ 3 คือชิ้นส่วนแอนติเจนของเชื้อด้วย เทคโนโลยีสารพันธุกรรม ทั้ง DNA และ RNA
ทั่วโลกอยู่ในขั้นตอนศึกษาในห้องปฏิบัติการ และ สัตว์ทดลองขนาดเล็ก เช่น หนู มีวัคซีน 1 แบบอยู่ในขั้นตอนศึกษากับคน ระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2 อีก 7 แบบ แต่ละแบบใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน
แต่ความพิเศษของแบบ mRNA คือ การนำเอาข้อมูลพันธุกรรมมาวิเคราะห์จนทราบรหัสพันธุกรรม จากนั้นเอารหัสพันธุกรรมมาวิเคราะห์และสร้างสาย mRNA (เป็นระยะของวัคซีนที่ใช้ฉีดได้) เมื่อฉีดเข้าเซลล์ของลิงจะผลิตเป็นโปรตีนของเชื้อ จากนั้นร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ (Antibody) ที่จะป้องกันไวรัสได้ โดยการทดลอง จะฉีดให้ครบ 3 เข็ม แล้วนำผลมาวางแผนการศึกษาต่อไป
สรุปขั้นตอนคือ 1.ทดสอบวัคซีน 2.พัฒนาวัคซีนต้นแบบ mRNA จากนั้น 3.ทดลองในสัตว์ 4.ทดลองในคนด้วยกัน 3 ระยะ ระยะที่ 1 เน้นความปลอดภัย ระยะที่ 2 เน้นความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกัน และระยะที่ 3 เน้นการป้องกันโรค
ขณะที่ ดร.สุวิทย์ ระบุว่า วช.ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ที่นายกฯ มอบหมาย 3 แนวทาง คือ 1.สนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในประเทศ 2.ร่วมมือวิจัยกับต่างประเทศ และ 3.เจรจากับผู้ผลิตวัคซีนในต่างประเทศ เพื่อให้คนไทยมีวัคซีนใช้ในระยะเวลาใกล้เคียงกับประเทศอื่นในโลก
ซึ่งจะต้องสามารถผลิตได้เองในประเทศด้วย รวมถึงเตรียมการผลิตในประเทศ และการจองโรงงานผลิตวัคซีนล่วงหน้า หากจุดใดมีโอกาส จะดำเนินการผลิตพร้อมกันเพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีวัคซีนใช้อย่างแน่นอน คาดว่าจะมีข่าวดีประมาณ 12-18 เดือนหลังจากนี้
“นี่คือเรื่องของมวลมนุษยชาติ เพราะ ณ วันนี้ยังไม่มีวัคซีนใดตอบโจทย์ พัฒนาการที่เร็วกว่าเราเล็กน้อยคือจีน 4-5 เจ้า ที่เริ่มทดลองกับคนแล้ว แต่เทคโนโลยีที่เราใช้อย่าง mRNA ถือว่าใหม่ล่าสุด มีหลายเจ้าที่ทำอยู่อย่าง จีน สหรัฐ ก็ไม่ได้หนีไปจากเรา ด้านหนึ่งเราต้องยืนอยู่บนขาของตัวเอง พัฒนาวัคซีนของเราเอง คู่ขนานกันไปโดยจับมือกับศูนย์วิจัยระดับโลกในเรื่องนี้ คนอื่นมี เราต้องมี คือโจทย์สำคัญ”
และเหตุของความร่วมมือระดับโลกในหลายวิธีการ เพราะวัคซีนโควิด-19 ยังเป็นสิ่งใหม่ ไม่มีใครรู้ว่าแบบใดจะได้ผล ซึ่งต้องทั้ง ปลอดพิษ ปลอดภัยกับมนุษย์มีประสิทธิภาพ และ แรงพอ จึงต้องระมัดระวังและให้เวลา” ดร.สุวิทย์สรุป
1 ปีกว่าแม้ดูยาวนาน แต่หากได้ผล ไทยจะไม่ต้องยืมจมูกใครหายใจอีกต่อไป