หน้าแรก ในประเทศ “จตุพร” เตือน! บิ๊กตู่ ระวัง “รอยอดีตเดือนพฤษภา”ย้อนกลับ ถ้าม็อบมาจริง รุนแรงแน่
“จตุพร”ย้อนรอย ปชช.ชุมนุมบนถนน ชี้วันที่ 18 พ.ค.ของทุกเหตุการณ์ตัดสินอนาคต ปท. ลั่นฝ่ายรัฐสะท้อนคงใช้ พรก.ฉุกเฉิน ยุส่งอยากกอดไว้เป็นชาติก็เอาเลย เชื่อแนวโน้มเกิดม็อบไร้แกนนำ คาดรัฐเอาไม่อยู่ เผยเตือนแล้วไม่ฟัง ย้ำไม่ต้องการล้มรัฐบาลจึงพยายามเตือนทุกครั้ง ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ
เมื่อ 18 พ.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊คไลฟ์ “Jatuporn Prompan – จตุพร พรหมพันธุ์” ในรายการ PEACE TALK หัวข้อ “รอยอดีตเดือนพฤษภา” ซึ่งระบุว่า เหตุการณ์วันที่ 18 พ.ค. คือรอยต่อของเหตุการณ์สำคัญตั้งแต่ปี 2535 และคาดว่าจนถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันด้วย
นายจตุพร กล่าวว่า รอยอดีตเดือนพฤษภานั้น สถานการณ์การเมืองหลายเรื่องอาจมีความร้อนแรง ซึ่งตนได้ซึมซับอุณหภูมิการเมืองพอสมควร เนื่องจากประวัติศาสตร์คือบทเรียน ถ้าคนรู้จักประวัติศาสตร์นั้นดีพอ
วันนี้ 18 พ.ค.มีหลายเหตุการณ์มากที่เป็นรอยต่อทางประวัติศาสตร์ สำหรับเหตุการณ์พฤษภา 2535 ความตายของประชาชนส่วนใหญ่เกิดขึ้นในวันนี้ เนื่องจากฝ่ายปราบปรามเชื่อว่า ถ้าจับแกนนำได้แล้ว เมื่อการชุมนุมไร้แกนนำก็จะยุติ แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะการชุมนุมไร้แกนนำนำได้ไปสู่การล้อมปราบในคืนวันที่ 18 พ.ค. 2535 จนมีคนตายร่วมสูญหายร่วม 80 ชีวิต บาดเจ็บกว่า 6,000 คน
จากนั้นวันที่ 19 พ.ค.ตนนำการชุมนุมปักหลักต่อสู้ที่ ม.รามคำแหง จนต่อนื่องมาถึงวันที่ 21 พ.ค. ซึ่ง ในหลวงรัชกาลที่ 9 เรียกแกนนำผู้ชุมนุมกับฝ่ายทหารเพื่อยุติความขัดแย้ง ถัดจากนั้นอีก 3 วัน พล.อ.สุจินดา คราประยูร ประกาศลาออกจากนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์พฤษภา 2553 ก็เช่นกัน เพราะวันที่ 18 พ.ค.เป็นรอยต่อสำคัญก่อนถึงวันที่ 19 พ.ค. ซึ่งเป็นคำตอบกับผู้คนทยอยออกมาอธิบายเหตุการณ์กันทุกปี และทุกปีอีกเช่นกันตนจะเจียมเนื้อเจียมตัวการพูดความจริงมาตลอด เพราะยิ่งพูดความจริงก็กลับเป็นคนผิดยิ่งขึ้น ตนยอมรับสภาพว่า ตนสู้ไม่ได้จริงๆ
การพยายามอธิบายภายหลังเหตุการณ์คณะก้าวหน้ายิงแสงเลเซอร์ตามหาความจริงนั้น ตนอยู่ในจุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องลุกขึ้นมาอธิบายเหตุการณ์ หากอธิบายไม่ระมัดระวังแล้ว ย่อมเกิดความย่อยยับอีกเช่นเคย เพราะความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องย่อมรู้ดีหมด แต่เป็นความจริงที่คนพูดความจริงต้องกลายเป็นคนผิดเสมอ
ในคืนวันที่ 18 พ.ค.2553 นั้น พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช พา ส.ว. ซึ่งรับภารกิจจากนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ว่าจะใช้วุฒิสภาเป็นสถานที่ยุติความตายความขัดแย้งหนนี้
บรรดาแกนนำประชุมร่วมกัน แล้วเห็นพ้องว่า ต้องยุติความตายกันได้แล้ว เพราะเกิดความตายขึ้นทุกวัน เพลงนักสู้ธุลีดินเปิดขึ้นหนึ่งครั้ง ก็มีคนตายหนึ่งศพ ซึ่งเป็นความตายรับกันไม่ไหวทางความรู้สึก
พล.อ.เลิศรัตน์ เคยระบุว่า แกนนำ นปช.ยอมรับยุติการชุมนุมเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และขณะร่วมแถลงข่าวกับแกนนำ นปช.นั้น แต่ ศอฉ.กลับสั่งเคลื่อนกำลังทุกทิศทางมาที่แยกราชประสงค์
“ดังนั้น สะท้อนได้ว่า การต่อสู้ทางการเมืองไม่สามารถต่อสู้กับการใช้กำลังทหารทุกรูปแบบ และนำอาวุธสงครามทุกรูปแบบ สไนเปอร์ ขนมาปราบผู้ชุมนุม ซึ่งต้องการมาถึงเวทีราชประสงค์อยู่ดี เรารู้ชะตากรรมว่า อะไรกำลังจะเกิดขึ้น และเราไม่สามารถยับยั้งการปราบนี้ได้”
ถัดมาในวันที่ 19 พ.ค.2553 ต้องประกาศยุติชุมนุม และตกลงให้ประชาชนเดินทางกลับทางถนนพระราม 1 ผ่านสยามพารากอนนั้น ไม่ได้เป็นไปตามสัญญา คนจึงไปตายกันที่วัดปทุมวนาราม
ดังนั้น ประวัติศาสตร์คืนวันที่ 18 พ.ค. 2553 จึงเป็นหัวใจ ซึ่งเกิดจากการสะสมความตายเรื่อยมาและไม่หยุด เป็นความตายที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นคนไม่จงรักภักดี เป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง ทั้งที่ทุกศพตายก่อนไฟไหม้ทั้งสิ้น ยกเว้น 6 ศพวัดปทุมที่ตายพร้อมไฟไหม้
“ตลอดเวลาเราทวงความยุติธรรมให้กับคนตาย ซึ่งก็สู้ไม่ได้เลย และบรรดาสารพัดโฆษกออกมายกตัวอย่างนั้น เอาเถอะท่านเป็นฝ่ายชนะ ผมเป็นฝ่ายตาย เป็นฝ่ายติดคุก ดีไม่อธิบายว่า พวกผมตายกันเองตามวาทกรรมฆ่ากันเอง แต่พวกผมรักกันมาก เพราะ 6 ศพวัดปทุมฯ ถ้าไปดูสำนวนพลิกศพแล้ว จะรู้ว่าแต่ละศพเขาตายให้กัน ศพหนึ่งตาย ศพที่สองไปช่วยศพที่หนึ่ง ศพที่สามไปช่วยศพที่สอง ศพที่สี่ไปช่วยศพที่สาม ศพที่ห้าไปช่วยศพที่สี่ และศพที่หกไปช่วยศพที่ห้า นั่นละหรือครับฆ่ากันเอง”
นายจตุพร กล่าวว่า เหตุการณ์ทั้งปวง พ่อแม่วีรชนอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวด แกนนำต่อสู้ทำหน้าที่เยียวยาประคับประคองหัวใจ และต้องต่อสู้คดีในชั้นศาล เมื่อมีการพูดแต่เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น แต่ถามจริงเชื่อแบบนี้หรือ ความตายร่วม 100 ศพ เขาตายจากอะไร และ 6 ศพวัดปทุมฯชันสูตรแล้วไม่มีเขม่าดินปืน ตนพูดความจริงมาตลอดจนต้องเข้าคุก และยิ่งตามหาความจริงยิ่งเจ็บปวด เพราะฝ่ายตายเป็นฝ่ายผิด ด้วยเหตุนี้ วันที่ 18 พ.ค.จึงเป็นรอยต่อประวัติศาสตร์ที่สำคัญ และการยึดอำนาจในปี 2557 ก็เป็นรอยต่อจากปี 2553
ดังนั้นวันนี้ วันที่ 18 พ.ค. จึงมีหลายเรื่อง และเรามองเหตุการณ์ในวันนี้มีหลายเรื่อง โดยนำเสนอความเดือดร้อนของประชาชนอย่างครบถ้วน ถ้าคนมีอำนาจไม่เชื่อก็สุดแท้แต่ เพราะคุณมีอำนาจ ตนมีหน้าที่พูด ส่วนอำนาจอยู่ที่คุณ
“ถามว่า ต้องยกเลิก พรก.ฉุกเฉินหรือไม่ ผมไม่มีอะไรต้องวิตก คุณจะใช้ พรก.ฉุกเฉินเป็นชาติก็ช่างหัวคุณ เรื่องเยียวยาไม่ครบ คุณรับผิดชอบอยู่แล้ว ผมไม่ได้รับผิดชอบ เราได้แสดงความเป็นห่วงในฐานะเป็นคนไทย และผมไม่เห็นช่องทางว่า ประเทศจะไปอย่างไร ดังนั้น จะใช้อีกเป็นชาติก็เรื่องของคุณ ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็ไม่จบเมื่อใช้รัฐธรรมนูญเดิมไม่แก้ไข”
นายจตุพร ย้ำว่า การยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน เป็นการเริ่มต้นของการพลิกฟื้น เพราะสถานการณ์โลกไม่ได้เอื้ออะไรเลย แล้วในประเทศลำบาก เราจะอยู่กันอย่างไร เพราะไม่ได้คิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา
“วันนี้ถ้ามีความเชื่อว่า จำเป็นต้องรักษา พรก.ฉุกเฉิน คุณเอาไปเลยอย่ายกเลิก เพราะเรียกร้องมีการยกเลิกไม่ฟัง ก็ยุส่งเลย อย่ายกเลิก อยู่ไป กอด พรก.ฉุกเฉินไว้ หากยังไม่เข้าใจความอดยากของประชาชน ก็ช่วยไม่ได้”
ตนเคยบอกว่า ม็อบที่น่ากลัวคือ ม็อบไร้แกนนำ ปี 2535 เราไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ปีนี้อีกเดือนสองเดือนก็รู้ชะตากันแล้วว่าอะไรรออยู่ และจะเอาไม่อยู่ ที่นำเสนอทั้งหมดไม่ได้เสนอเพื่อล้ม ถ้าต้องการให้ล้มต้องนั่งรอ อย่างไรก็มาถึง
“แต่ที่ต้องนำเสนอเพราะไม่ต้องการให้ใครต้องบาดเจ็บล้มตายกันอีก และผมไม่ต้องการให้พฤษภาทมิฬรอบสองเกิดขึ้นมาอีก เพราะผมรู้ว่ามันจะแรงกว่ารอบที่หนึ่ง เพราะรอบที่หนึ่งไม่มีปัญหาเศรษฐกิจ แต่รอบนี้มาพร้อมปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง”
รวมทั้งกล่าวว่า เมื่อวานนี้ (17 พ.ค.) ตนบอกที่อนุเสาวรีย์วีรชนเดือนพฤษภา ภาวนาในใจว่า อย่างให้เกิดขึ้นมาอีก เพราะในใจรู้ว่า ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ อย่างไรก็หนีไม่พ้น และจะหนักที่สุดตั้งแต่ประเทศนี้เคยมีมา เพราะความลำบากแก้ไม่ได้ ที่นำเสนอเพราะไม่ต้องการให้ประเทศเข้าสู่กับดักเหมือนเดิม คิดไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้ ถือว่าพูดมาแล้วหลายครั้ง
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อวานไปร่วมงานรำลึกเหตุการณ์พฤษภา 2535 และร่วมย้ายกระดูกวีรชนไปฝากไว้วัดชนะสงคราม เพราะจะใช้พื้นที่สร้างอนุเสาวรีย์วีรชนพฤษภา 2535 ซึ่งเป็นเรื่องของฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการเท่านั้น ดังนั้น ทุกฝ่ายแม้มีความเชื่อทางการเมืองอย่างไรเมื่อถึง 17 พ.ค.ของทุกปี จะมาร่วมงานกันที่สวนสันติพร
อีกทั้ง ย้ำว่า วันที่ 19 พ.ค. นปช.จะทำบุญที่วัดนวลจันทร์ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้วีรชนที่ตายจากการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อพฤษภา 2553 จึงขอเชิญชวนพี่น้องมาร่วมงาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 07.00 น.
PEACE NEWS