“นันทเดช” ฉะ ! “ก้าวไกล” รู้ไม่จริง ตีแผ่ “เหตุระทึก” ปี53 ใครทำร้าย ปชช.

“พล.ท.นันทเดช” อดีตหัวหน้าศรภ. โพสต์ ตอบโต้ “คณะก้าวไกล” กรณี ยิงเลเซอร์ตามหาความจริง เหตุการณ์ครบรอบ10ปี การชุมนุมการเมืองปี 53 ตีแผ่ 4 เหตุการณ์ ระทึก ทำร้าย ทุบตี  กราดกระสุนใส่ จนท.และ ผู้ชุมนุม พร้อมย้ำ เป็นกรรมที่ต้องติดตัวไป ตลอดชีวิต ติง รัฐบาล”ลุงตู่” ใจดีเกินไปแล้ว
วันที่ 16 พ.ค.63 พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหน.ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ เพจเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณี การยิงเลเซอร์  วันครบรอบ10ปี ที่เกี่ยวข้องกับ การชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ของ คณะก้าวไกล ที่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นแกนนำ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ตามหาความเท็จ จากคณะใหม่
เอาแค่เรื่องในเหตุการณ์เพียงวันเดียวของการประท้วงก่อน เบื่อที่ต้องเขียนแล้วเขียนอีกไม่เขียนก็ไม่ได้ มีคนพยายามเอาเรื่องไม่จริง มาหลอกเด็กอยู่เรื่อยๆ ผมว่ารัฐบาลใจดีเกินไปหรือเปล่า
1.การก่อเหตุรุนแรงในการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช.เมื่อ 10 เม.ย. 53 เริ่มต้นขึ้นด้วยการใช้อาวุธสงครามออกมายิง ฮ.ที่เชิงสะพานผ่านฟ้าก่อน ท่ามกลางคนนับร้อยหลังจากนั้นบนสะพานพระปิ่นเกล้าฯ คนอีกกลุ่มก็ขึ้นไปรุมทำร้ายทหาร บนรถบรรทุกทหาร 4 คัน โดยทหารมีปืนพกประจำกาย แต่ไม่ทำร้ายหรือต่อสู้ ด้วยเห็นว่า เป็นประชาชน ที่เป็นคนไทยด้วยกันกลุ่ม นปช.ยึดอาวุธสงครามไปได้ ส่วนหนึ่งปัจจุบันยังตามหาไม่ครบ

2.ต่อมาที่บางลำภู ช่วงบ่าย การ์ดของกลุ่ม นปช.คนหนึ่งในแถวหน้าที่ผลักดันกันอยู่กับแถวทหาร การ์ดคนนั้นได้ล้วงปืนพกออกมายิง ใส่ทหารที่ผลักดันกันอยู่ซึ่งๆหน้าล้มลง 2 คนกลางวันแสกๆ พอตกค่ำก็มีชายชุดดำเริ่มต้นใช้อาวุธสงครามหลากหลายชนิด ระดมยิงเข้าไปที่กลุ่มทหาร และประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตลอดถนนบางลำภู จนประชาชนย่านนั้นต้องนำทหารที่บาดเจ็บไปซ่อนไว้ในบ้าน เพราะไม่งั้นจะมีกลุ่มคนที่คอยดักทำร้ายทหารที่ถูกยิงบาดเจ็บแล้วซ้ำเข้าไปอีกขณะกำลังนำทหารส่งโรงพยาบาล

3.แค่นั้นไม่พอ เมื่อทหารไม่กล้ายิงประชาชนที่อยู่หน้าแถวกลุ่มชายชุดดำอีกชุดหนึ่ง ล้อมทหารไว้หน้า ร.ร.สตรีวิทย์ เอาประชาชนบังหน้า ฮึกเหิมถึงขั้นใช้อาวุธสงครามนาๆชนิด รวมทั้งระเบิดสังหาร ลอบสังหารนายทหารระดับผู้การกรมจนเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสไปถึง 4 คนรวมถึงการฆ่าประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง อย่างหน้าตัวเมีย มีทหารบาดเจ็บมากมาย กล่าวกันว่า ทหารที่ตายและบาดเจ็บมีจำนวนพอๆกับทหารไทยที่ไปรบในสงครามเวียดนามเลยทีเดียว (แตกต่างกันตรงที่ ที่ราชดำเนินทหารไม่สามารถใช้อาวุธโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มประชาชน โดยใช้ประชาชนบังหน้าได้จึงถูกไล่กระทำเพียงฝ่ายเดียว)

4.ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คดีแรกๆที่จะฟ้องทหาร เรื่องพลเรือนที่ถูกกระสุนปืนความเร็วสูงตายหน้า ร.ร.สตรีวิทย์ 2 คนและนักข่าวญี่ปุ่นอีกคนหนึ่ง ฝ่ายที่จะเอาผิดทหารพยายามเชื่อมโยงว่ากระสุนมาจากฝั่งทหาร แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะผลการพิสูจน์ทั้งทางการแพทย์ (นิติเวช) และรูปภาพในคลิปวิดิโอกลับยืนยันได้ว่า กระสุนที่ยิงใส่พลเรือน 2 คนจนเสียชีวิตนั้นไม่ได้มาจากฝั่งทหาร นอกจากนั้น ประชาชนอีกคนที่ตายจาก “กระสุน”  ก็เป็นกระสุนที่ทางทหารไม่มีใช้ เรื่องการตายของพลเรือนที่หน้า ร.ร.สตรีวิทยา จึงยุติลงไป แต่ไปจับเอาเรื่องของพลเรือนที่ตายย่านราชประสงค์มาเล่นงานทหารแทน ตอนนี้ก็ยุติไปอีก เพราะความจริงพิสูจน์ได้
อย่าไปตามหาความจริงเลย แต่ถ้าอยากรื้อฟื้นคดี ตามที่กลุ่มฉายแสงเลเซอร์เรียกร้องมาก็ดีเหมือนกัน หลักฐานหลังจากการสลายตัวของกลุ่ม นปช. ยังมีอีกเพียบเลย ตั้งแต่อาวุธสงครามทั้งหลายรวมถึงระเบิด C-4 เอาเลยครับ เอากันจริงๆสักที ไม่งั้นพูดกันไม่รู้จักจบ  ในแทบทุกศาสนา ศีลข้อแรกคือ การยกเว้นการฆ่า โดยเฉพาะการฆ่าผู้บริสุทธิ์ เคยมีพระเกจิท่านหนึ่งได้บอกผมว่า คนที่เอาชีวิต(ฆ่า)คนอื่น รวมทั้งคนที่สั่งการ
วิญญาณของผู้ตายจะมาเกาะอยู่ข้างหลัง เป็นกรรมติดตัวไปตลอด ยิ่งกรรมเกาะหลังเยอะยิ่ง “หนักกรรม” ครับ