แกะรอย ปมฉาว “เสียบบัตร” แทนกัน ทำ ร่าง พรบ.งบประมาณ 3.2 ล้านล้าน ส่อสะดุด ฉุดเศรษฐกิจชาติพังพาบ ลุ้นระทึกอีกรอบ หลัง สส. ฝ่ายค้าน-รัฐบาล ยื่นศาล รธน.ตีความ
กรณี นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง รองหน.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ออกมาแฉแหลก 2 ส.ส.พรรค ภูมิใจไทย(ภท.) ฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง กับ นาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ภท.
ไม่อยู่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่กลับมีชื่อเป็นองค์ประชุมและร่วมลงมติผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ในวาระ 2 และวาระ 3
นอกจากนี้ยังมีคลิปภาพของสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 จังหวะที่ น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ เสียบบัตรลงคะแนนคนเดียวมากกว่า 1 ใบ เป็นหลักฐานเด็ดมัดแน่น ถึงการลงมติแทนกัน
ต่อมาน.ส.ภริม แถลงยอมรับเป็นบุคคลในคลิปจริง โดยอ้างว่า รับฝากเสียบบัตรลงคะแนนให้นายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเดียวกัน เนื่องจากเครื่องลงคะแนนมีไม่เพียงพอ และยืนยันขณะนั้นตัวนายทวิรัฐ ยังอยู่ในห้องประชุมสภา
เช่นเดียวกับ นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ยอมรับว่า ตนเองไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภาจริงและได้เสียบบัตรทิ้งไว้ในเครื่อง แต่ไม่ได้มอบหมายให้ใครกดลงคะแนนแทน ขณะที่นางนาที ไม่ได้ออกมาชี้แจงใดๆ
มีการตั้งข้อสังเกต การที่ นิพิฏฐ์ ออกมา ตั้งป้อม แฉส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน จนเรื่องลุกลามใหญ่โต
เพราะเป็นความแค้นส่วนตัว ต้องการ”เอาคืน” นายฉลอง ผู้สมัครส.ส.พรรคภูมิใจไทย ที่ ทำให้ตนเอง “สอบตก” ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
รวมถึง เรื่องที่ นิพิฏฐ์ ร้องทุจริตเลือกตั้งเขต 2 พัทลุงก็ยังคาอยู่ในคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้งที่การเลือกตั้งล่วงเลยมาเกือบปี นายนิพิฏฐ์ ทวงถามหลายครั้ง แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า
เอาเถอะ! ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีสาเหตุจากอะไร จะเป็น ปมแค้ส่วนตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อสภาผู้แทนฯ และ รัฐบาล หากว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 ต้องมีอันเป็นไป จากกรณีส.ส.เสียบบัตรลงมติแทนกัน
ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า จะส่งผลเสียหายต่อร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา ถึงขั้นทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นโมฆะหรือไม่
เรื่องนี้แยกเป็น 2 ประเด็น
นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ชี้ว่าในกรณีส.ส.เสียบบัตรแทนกัน ไม่ว่าเจ้าของบัตรลงคะแนนจะอยู่หรือไม่อยู่ในห้องประชุมสภาก็ตาม ต้องถือว่ามีความผิดทุกกรณีทั้งคนฝากและคนรับฝากบัตร
ล่าสุดส.ส.รัฐบาล 90 คน กับส.ส.ฝ่ายค้าน 84 คน รวม 174 คน เข้าชื่อยื่นต่อประธานสภาผ่านไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย กระบวนการตราร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ขัดหรือแย้งกับหลักการออกเสียงการลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 120 หรือไม่
หากขัดรัฐธรรมนูญ จะถือว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ตกไปทั้งฉบับ หรือ เฉพาะมาตราที่ใช้บัตรแสดงตนและลงมติแทนผู้อื่น
และกรณีนี้จะถือว่าสภาพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่เสร็จภายใน 105 วัน ตามมาตรา 143 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญหรือไม่
และหากร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ตกไปทั้งฉบับ หรือเฉพาะมาตราที่มีการใช้บัตรแสดงตนและลงมติแทนผู้อื่น ต้องดำเนินการในแต่ละกรณีอย่างไร
ฝ่ายค้านยังสงสัยในประเด็นที่ว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ตราขึ้นโดยชอบด้วยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากกรณีมีหลักฐานข้อเท็จจริงชัดเจนว่า ส.ส.รัฐบาลเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ทั้งในวาระ 2 และ 3
แม้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย จะชี้ว่าการเสียบบัตรแทนกันเป็นความเสียหายร้ายแรง มีความผิดและ มีบทลงโทษ แต่ผลกระทบที่มีต่อร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่น่าถึงขั้นวิบัติเสียหายร้ายแรง
การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความ ถึงผลจะออกได้สามหน้า ได้แก่ 1.ตกทั้งฉบับ 2.เสียไปเฉพาะมตินั้น 3.เสียไปเฉพาะคะแนนที่ถูกหักออกเนื่องจากเสียบบัตรแทนกัน
และส่วนตัวนายวิษณุ เชื่อว่าสุดท้ายน่าจะทำให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ มีผลบังคับใช้ล่าช้าเท่านั้น จากเดิมคาดว่าจะใช้ได้ช่วงต้นหรือกลางเดือนก.พ.63
กรณีนี้ มีบรรทัดฐาน จากคดีที่ ศาลรัฐธรรมนูญ เคยวินิจฉัยคดีทำนองเดียวกันนี้มาแล้ว
มีบันทึกเป็นหลักฐานชัดเจน นายนริศร ทองธิราช อดีตส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย เสียบบัตรลงมติแทนส.ส.คนอื่นในการประชุมสภาวันที่ 20 ก.ย. 2556 ในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน
ผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การเสียบบัตรแทนกันทําให้การออกเสียงลงคะแนนของส.ส.ในการประชุมพิจารณานั้น เป็นการออกเสียงลงคะแนนไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย
เมื่อกระบวนการออกเสียงลงคะแนนในการพิจารณา ร่างกฎหมายไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
จึงถือว่า มติของส.ส.ในกระบวนการตราร่างกฎหมายดังกล่าว เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทำให้ร่างกฎหมายที่ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
ชัดเจน ทุกถ้อยคำ ตามกระบวนการ พิจารณาของ ศาลรธน.เมื่อครั้งกระโน้น ก็ต้องมารอดูกันว่า หลังจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับ ประเทศไทย จาก การ “เสียบบัตร” แทนกัน